ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
Advertisement

การพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โรงเรียนบ้านดินดำคำไฮ(หาญคุรุราษฎร์สามัคคี) Development guality improve study Dindomcomhai School

บทคัดย่อ

บทความนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (best practice) เนื่องจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (Nation Test : NT) และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (Ordinary National Education Test : O-NET) โรงเรียนบ้านดินดำคำไฮ(หาญคุรุราษฎร์สามัคคี) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่ามาตรฐาน ดังนั้นผู้บริหารคณะครู นักเรียน จึงได้ดำเนินการการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อการพัฒนาจากผลการทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียน โดย การออกแบบวิธีการ การดำเนินการตามแผน สร้างเครื่องมือหรือนวัตกรรมที่ออกแบบไว้ การดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาตามเครื่องมือที่สร้าง

ความสำคัญของผลงานที่นำเสนอ

โรงเรียนบ้านดินดำคำไฮ(หาญคุรุราษฎร์สามัคคี) เป็นโรงเรียนขนาดเล็กจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 3 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนรวมทั้งสิ้น 49 คน ครู 6 คน ผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน เขตพื้นที่บริการ 2 หมู่บ้าน คือ บ้านดินดำ (หมู่3) และบ้านคำไฮ(หมู่ 4) จากรายงานผลการทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (Nation Test : NT) และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (Ordinary National Education Test : O-NET) ปีการศึกษา 2565 สูงกว่าปีการศึกษา 2564 เป็นที่น่าพึงพอใจของคณะครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษา ดังนั้นคณะครู ผู้ปกครองและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจึงร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อใช้เป็นแนวทางในการเตรียมการและพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีความพร้อมรับการทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (Nation Test : NT) และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (Ordinary National Education Test : O-NET) ในปีการศึกษาต่อไปและมีผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้นกว่าปีการศึกษาที่ผ่านมาและสถานศึกษาดำเนินงานตามแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ซึ่งได้กำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินงานดังนี้

กลยุทธ์ที่ 1 การสร้างโอกาสทางการศึกษา มี 5 จุดเน้น

กลยุทธ์ที่ 2 การพัฒนาคุณภาพการศึกษา มี 3 จุดเน้น

ศึกษาหลักสูตรและแนวทางคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

ทฤษฎีการสอนของกาเย่ ซึ่งมีแนวคิดว่า การเรียนรู้มีลำดับขั้นและผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เนื้อหาจากง่ายไปหายาก

แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกัน ผู้เรียนจะสามารถเรียนเนื้อหาในหน่วยย่อยต่างๆได้โดยใช้เวลาเรียนที่แตกต่างกัน

ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ บุคคลเรียนรู้ด้วยการกระทำโดยมีตัวเสริมแรงเป็นตัวกลาง

ทฤษฎีลองผิดลองถูกของธอร์นไดด์ สรุปเกณฑ์การเรียนรู้คือ กฎความพร้อมหมายถึง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลพร้อมที่จะทำ กฎผลที่ได้รับหมายถึง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเพราะบุคคลกระทำซ้ำและยิ่งทำมากความชำนาญจะเกิดขึ้นได้ง่าย

จากการศึกษาค้นคว้าตามทฤษฎีดำเนินการคัดกรองนักเรียนและจัดกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถในการเรียนรู้ (สอดคล้องกับแนวคิดของบลูม) เลือกเทคนิคและวิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตลอดจนสื่อ เครื่องมือวัดและประเมินผลให้เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทและความต้องการของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล (สอดคล้องกับแนวความคิดของบลูม) จัดทำแนวทางการพัฒนาผู้เรียนหรือแผนการจัดการเรียนรู้และจัดหาสื่อนวัตกรรมและแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสม ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการพัฒนาหรือแผนการจัดการเรียนรู้และมีการเสริมแรงโดยการชมเชยผู้ที่เรียนรู้ได้ดี และคอยให้กำลังใจคนที่เรียนรู้ช้ากว่าคนอื่น (สอดคล้องกับทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์) ดำเนินวัดผลและประเมินผลทุกระยะเพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียนรายบุคคลต่อไป กิจกรรมเติมวิชาการให้เข้มแข็ง โดยการดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เสริมให้นักเรียนทั้งในและนอกเวลาเรียนตามที่โรงเรียนกำหนดเป็นจุดเน้นหรือดำเนินการปกติอยู่แล้ว เช่น กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมสอนซ่อมเสริม กิจกรรมท่องสูตรคูณ กิจกรรมท่องอาขยาน กิจกรรมเขียนเรียงความ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะดำเนินการซ้ำๆบ่อยๆเพื่อให้เกิดความชำนาญ (สอดคล้องกับทฤษฎีของธอร์นไดด์) โรงเรียนบ้านดินดำคำไฮ(หาญคุรุราษฎร์สามัคคี)จึงจัดให้มีการดำเนินงานอย่างหลากหลายและนำกิจกรรมมาบูรณาการเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนระดับกับชาติ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (Nation Test : NT) และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (Ordinary National Education Test : O-NET)ให้สูงขึ้น

การดำนินงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (best practice)

จุดประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (Nation Test : NT) และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (Ordinary National Education Test : O-NET) ให้สูงกว่าปีการศึกษา 2564

กลุ่มเป้าหมาย ทุกห้องเรียนมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและองค์ประกอบเชิงโครงสร้างพื้นฐาน

ครูไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ความสามารถจัดการเรียนรู้เชิงรุก และออกแบบใช้เครื่องมือการสอนคิดในกระบวนการเรียนการสอน

กระบวนการปฏิบัติงาน ขั้นตอนการดำเนินงานการขับเคลื่อน การพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (best practice)โดยมีวิธีการดังนี้ ประชุมปฏิบัติการคณะครูเพื่อกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จรายปีของโครงการสร้างความตระหนักและการยอมรับของทุกคน สนับสนุนครุภัณฑ์และเทคโนโลยีรวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานแก่ห้องเรียนทุกห้องเพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการ Workshop เพื่อทบทวนกระบวนการจัดการเรียนรู้ และเทคนิคการใช้เครื่องมือการสอนคิดแก่บุคลากรทุกคน ใช้กลไกของการศึกษาห้องเรียน(Lesson Study) และการPLCแบบมี Growth mindset เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ตั้งแต่การนำแผนการจัดการเรียนรู้มาร่วมแบ่งปันและเปิดโอกาสให้เพื่อครูได้เสนอแนะในวง PLC การเปิดชั้นเรียนให้เพื่อนครูได้สังเกตการสอน และนำผลจากการศึกษาห้องเรียนมาร่วมพัฒนาปรับปรุง ซึ่งมีวงจรการพัฒนาตามแผนภาพ

โดยกำหนดให้ครูทุกคนร่วมสะท้อนคิดและร่วมเรียนรู้ ในกลุ่ม PLC อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง และเข้าร่วมสังเกตการจัดการเรียนรู้ของเพื่อนครู และเปิดโอกาสให้เพื่อครูเข้าสังเกตห้องเรียน เดือนละ 1ครั้ง

ขั้นวางแผน (Plan) ประชุมครู แต่งตั้งคณะกรรมการการดำเนินงาน รู้จักนักเรียนรายบุคคลและคัดกรองนักเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้และคิดวิเคราะห์ไม่เป็น กลุ่มอ่านไม่คล่องเขียนไม่คล่องและคิดวิเคราะห์ไม่เป็น และกลุ่มอ่านคล่องเขียนคล่องคิดวิเคราะห์เป็น การออกแบบวิธีการหรือนวัตกรรม

การดำเนินการตามแผน (do) สร้างเครื่องมือหรือนวัตกรรมที่ออกแบบไว้ กิจกรรมเติมการสอนให้เข้มข้น เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ในเวลาเรียนปกติ แต่จะมีการวิเคราะห์และคัดกรองผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆโดยแต่ละกลุ่มจะใช้เทคนิคขั้นตอนจากง่ายไปหายาก (สอดคล้องกับทฤษฎีการสอนของกาเย่) จัดกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถในการเรียนรู้ (สอดคล้องกับแนวคิดของบลูม) เลือกเทคนิคและวิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตลอดจนสื่อความต้องการของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล (สอดคล้องกับแนวความคิดของบลูม) จัดทำแนวทางการพัฒนาผู้เรียนหรือแผนการจัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้และมีการเสริมแรงโดยการชมเชยผู้ที่เรียนรู้ได้ดี และคอยให้กำลังใจคนที่เรียนรู้ช้ากว่าคนอื่น (สอดคล้องกับทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์) ดำเนินวัดผลและประเมินผลทุกระยะเพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียนรายบุคคลดำเนินการซ้ำๆบ่อยๆเพื่อให้เกิดความชำนาญ (สอดคล้องกับทฤษฎีของธอร์นไดด์)

การตวจสอบ (check) ผู้บริหารนิเทศ กำกับ ติดตาม อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ให้ครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รายงานผลการดำเนินงานทุกสิ้นเดือน สำรวจความพึงพอใจของครู ผู้ปกครองและนักเรียน

การรายงานผลเพื่อปรับปรุงพัฒนา (Action) ครูวิชาการสรุปรายงานผลการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้ผู้บริหารทราบ นำผลการประเมินมาวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อที่จะนำไปเป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

บทสรุป

ผลการการดำนินงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (best practice) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (Nation Test : NT) และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (Ordinary National Education Test : O-NET) ปีการศึกษา 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ตามเป้าของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ผู้ปกครองและนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการดำเนินการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (NT) และ(O-NET)

ปัจจัยความสำเร็จ

ครูให้ความร่วมมือในการดำเนินงานอย่างเต็มศักยภาพและมีความต่อเนื่องในการดำเนินงาน

ผู้บริหารให้ความสำคัญและกำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง ผู้ปกครองให้ความสำคัญและมีเวลาให้กับบุตรหลาน นักเรียนให้ความสำคัญและตั้งใจเรียน มีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ PDCA

ข้อเสนอแนะ

ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของการจัดการความรู้ได้แก่ บุคลากรครู ผู้ปกครองนักเรียน สื่อ เทคโนโลยีและกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนา วิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ การทำงานที่เป็นระบบและความทุ่มเทเอาใจใส่ของคณะครู ผู้ปกครอง นักเรียนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้

​

การเผยแพร่/การได้รับการยอมรับ/รางวัลที่ได้รับ

คณะครูผู้ปกครองนักเรียนและคณะกรรมการสถานศึกษาตลอดจนชุมชนมีความพึงพอใจต่อการดำเนินการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (Nation Test : NT) และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (Ordinary National Education Test : O-NET)

ผลการทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (Nation Test : NT) และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (Ordinary National Education Test : O-NET) ปีการศึกษา 2565 สูงกว่า ปีการศึกษา 2564 ทุกรายวิชา

บรรณานุกรม

วิชาการ กรม การประเมินผลการใช้หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ.2533)

ศูนย์พัฒนาหลักสูตร กรมวิชาการ โรงพิมพ์คุรุสภากรุงเทพมหานคร 2538

ทิศนา แขมมณี.(2547).ศาสตร์การสอน:องค์ความรู้เพื่อจัดการระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ.

พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ทิศนา แขมมณี.(2548).ศาสตร์การสอน:การจัดการเรียนรู้โดยผู้เรียนใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

โพสต์โดย sarinrot : [17 เม.ย. 2568 (15:10 น.)]
อ่าน [59420] ไอพี : 58.10.134.104
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
Advertisement

 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 9,517 ครั้ง
ฟีฟ่า จับมือ กูเกิล เปิดเว็บเอาใจคอบอล
ฟีฟ่า จับมือ กูเกิล เปิดเว็บเอาใจคอบอล

เปิดอ่าน 1,261 ครั้ง
ศาลพระภูมิ ราคา ดี ควรเลือกร้านจำหน่ายศาลพระภูมิแบบไหนดีที่สุด
ศาลพระภูมิ ราคา ดี ควรเลือกร้านจำหน่ายศาลพระภูมิแบบไหนดีที่สุด

เปิดอ่าน 11,513 ครั้ง
วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน
วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน

เปิดอ่าน 47,910 ครั้ง
ทำไมหยดน้ำจึงกลิ้งบนใบบัวได้
ทำไมหยดน้ำจึงกลิ้งบนใบบัวได้

เปิดอ่าน 45,496 ครั้ง
เปิดคู่มือ สามี-ภรรยา แยกยื่นภาษี หักค่าลดหย่อนได้เท่าไหร่บ้าง
เปิดคู่มือ สามี-ภรรยา แยกยื่นภาษี หักค่าลดหย่อนได้เท่าไหร่บ้าง

เปิดอ่าน 12,306 ครั้ง
วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา

เปิดอ่าน 21,364 ครั้ง
ข้าวโพดสีม่วง ช่วยต้านมะเร็ง
ข้าวโพดสีม่วง ช่วยต้านมะเร็ง

เปิดอ่าน 20,088 ครั้ง
เผยสูตร "หน้าใส" 4 วิธี
เผยสูตร "หน้าใส" 4 วิธี

เปิดอ่าน 120 ครั้ง
โรงงานขึ้นรูปพลาสติกมีบริการอย่างไร เหมาะกับอุตสาหกรรมแบบใด
โรงงานขึ้นรูปพลาสติกมีบริการอย่างไร เหมาะกับอุตสาหกรรมแบบใด

เปิดอ่าน 19,580 ครั้ง
อ.เจษฎา ชี้พระนั่งในน้ำเดือด เป็นแค่กลทางวิทยาศาสตร์
อ.เจษฎา ชี้พระนั่งในน้ำเดือด เป็นแค่กลทางวิทยาศาสตร์

เปิดอ่าน 21,434 ครั้ง
หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายครู
หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายครู

เปิดอ่าน 2,453 ครั้ง
ความหวาน มีประโยชน์หรือโทษขึ้นอยู่กับปริมาณ
ความหวาน มีประโยชน์หรือโทษขึ้นอยู่กับปริมาณ

เปิดอ่าน 46,188 ครั้ง
ยิมนาสติก
ยิมนาสติก

เปิดอ่าน 10,464 ครั้ง
7 วิธี น.ศ.จบใหม่ฝ่าวิกฤต หางานอย่างไรให้ ได้งาน !!
7 วิธี น.ศ.จบใหม่ฝ่าวิกฤต หางานอย่างไรให้ ได้งาน !!

เปิดอ่าน 25,097 ครั้ง
Mambo Opensource คืออะไร
Mambo Opensource คืออะไร

เปิดอ่าน 16,618 ครั้ง
เอกสารดาวน์โหลด! แนวทางการดำเนินงานการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว
เอกสารดาวน์โหลด! แนวทางการดำเนินงานการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว
เปิดอ่าน 15,878 ครั้ง
ดนตรีโมสาร์ทช่วยทารกโตเร็วขึ้น
ดนตรีโมสาร์ทช่วยทารกโตเร็วขึ้น
เปิดอ่าน 3,195 ครั้ง
แนะนำ 5 อุปกรณ์เสริมคอมพิวเตอร์ เพิ่มขีดจำกัดในการใช้งานให้ทะลุหลอด
แนะนำ 5 อุปกรณ์เสริมคอมพิวเตอร์ เพิ่มขีดจำกัดในการใช้งานให้ทะลุหลอด
เปิดอ่าน 11,289 ครั้ง
27ก.ย.2555 Google ครบรอบ 14 ปีกูเกิล Search Engine
27ก.ย.2555 Google ครบรอบ 14 ปีกูเกิล Search Engine
เปิดอ่าน 15,881 ครั้ง
สมูทตี้สมุนไพร อร่อยได้ประโยชน์
สมูทตี้สมุนไพร อร่อยได้ประโยชน์

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
ติวสอบ GED
ติวสอบ SAT
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ