ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
Advertisement

การเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง EF (Executive Function) ด้วยกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัน

1. ความสำคัญของผลงาน นวัตกรรม หรือวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ

จากการศึกษาสังเกตเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัน พบว่า เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่เด็กยังขาดพัฒนาการทักษะกระบวนการคิด และทักษะการลงมือทำงานด้วยตนเอง ขาดความกล้าแสดงออกในการทำกิจกรรม ขาดการจดจ่อใส่ใจในการทำงาน มีความวอกแวก ไม่มีสมาธิในขณะที่ทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ อีกทั้งการทำกิจกรรมไม่มีความแปลกใหม่ด้านจินตนาการ การคิดนอกกรอบค่อนข้างน้อย ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจจัดกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองEF (Executive Function) โดยการเปิดโอกาสให้เด็กได้มีอิสระในการแสดงออก ได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง โดยอาศัยประสบการณ์เดิม และเป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นทักษะทางสมอง สามารถช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าคิดกล้าทำ อันเป็นรากฐานสำคัญให้เด็กเกิดการพัฒนาให้เหมาะสมกับวัย เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในอนาคตต่อไป

2. วัตถุประสงค์ของการดำเนินงาน

วัตถุประสงค์

1. เพื่อการเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง EF (Executive Function) ด้วยกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนอนุบาลชั้นปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัน

3. เป้าหมายของการดำเนินงาน

ด้านปริมาณ

1. เด็กชาย- หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี จำนวน 11 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านสัน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 จังหวัดเชียงราย มีคะแนนค่าเฉลี่ยพัฒนาการทางสมอง EF หลังการวิจัย เพิ่มขึ้น หลังจากการจัดกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์

ด้านคุณภาพ

1. เด็กชาย- หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี จำนวน 11 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านสัน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 จังหวัดเชียงราย มีพัฒนาการทางสมอง EF ที่เพิ่มขึ้น

4. หลักการและแนวคิด

กระแสการเปลี่ยนแปลงทางความรู้และเทคโนโลยีก่อให้เกิดความคาดหวังและผลักดันให้เกิด(พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ,2542) เพื่อกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันและได้ระบุแนวทางการจัดการศึกษาที่มุงเน้นฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ระบุให้จัดกิจกรรมโดยเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็นและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ต้องการให้เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ตลอดจนได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเหมาะสม ด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้สอน เด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนา และให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้าน อย่างเป็นองค์รวม มีคุณภาพ และเต็มตามศักยภาพ ด้วยการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทยยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นอย่างมีความหมายและกิจกรรมที่หลากหลาย ได้ลงมือกระทำในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัยและมีการพักผ่อนเพียงพอ จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และมีความสุข สร้างความรู้ ความเข้าใจ และประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กระหว่างสถานศึกษากับพ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย (กระทรวงศึกษาธิการ.2560:4)

ปัจจุบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน ทั้งในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชีพต่างๆ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนผลผลิตต่างๆ ที่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและในการทำงาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมาก ในทางกลับกันเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญมากที่จะให้มีการศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง วิทยาศาสตร์ทำให้คนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งความรู้ (Knowledge based society) คนทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ (scientific literacy for all)เพื่อที่จะมีความรู้ ความเข้าใจโลกธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น และนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม ความรู้วิทยาศาสตร์ ไม่เพียงแต่นำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังช่วยให้คนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์การดูแลรักษา ตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืนและที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถแข่งขันกับนานาประเทศและดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมโลกได้อย่างมีความสุข (กระทรวง-ศึกษาธิการ. 2547)

การจัดประสบการณ์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดีนั้นควรให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงมากที่สุด สอดคล้องกับแนวคิดของจอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ที่ว่าเด็กเรียนรู้จากการกระทำ (Learning by doing) ซึ่งตรงกับเพียเจท์ (Piaget) และบรูเนอร์ (Bruner) ที่กล่าวถึงกระบวนการพัฒนาการทางสติปัญญานั้นเกิดจากการเรียนรู้โดยการกระทำและการเรียนรู้จากการค้นพบด้วยตนเอง การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัยเป็นการตอบสนองและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในการเรียนรู้โลกธรรมชาติรอบตัวและพัฒนาทักษะทางสติปัญญาต่าง ๆ เนื่องจากเด็กในระดับปฐมวัยมีธรรมชาติของการสืบเสาะหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์อยู่ในตนเอง การส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้อย่างเหมาะสมโดยมุ่งเน้นให้เด็กได้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากที่สุด ให้ได้ทั้งกระบวนการเรียนรู้และองค์ความรู้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจะช่วยส่งเสริมศักยภาพของเด็กในการพัฒนาทักษะต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาในอนาคต(ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2552, หน้า 27)

พัฒนาการทางสมองทักษะ EF (Executive Function) คือ ความสามารถของสมองและจิตใจที่จะควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายได้ (ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. 2561 : คำนำ) ซึ่งการพัฒนาสมองของเด็กนอกเหนือจากเรื่อง IQ และ EQ การฝึกทักษะ EF ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่จะเป็นรากฐานกระบวนการคิดตัดสินใจและการกระทำที่มีส่วนช่วยให้เด็กในวันนี้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต (นวลจันทร์ จุฑาภัคดีกุล. 2559 : 1) ซึ่ง สอดคล้องกับ สุภาวดี หาญเมธี (2559 : 2) ได้กล่าวถึง ทักษะสมอง EF (Executive Function) ว่า เป็นชุดกระบวนการทางความคิด (Mental Process) ที่ช่วยให้เราวางแผน มุ่งใจจดจ่อ จำคำสั่งและจัดการกับงานหลาย ๆ อย่างให้ลุล่วงเรียบร้อยได้ สามารถจัดลำดับความสำคัญของงาน วางเป้าหมาย และทำไปเป็นขั้นตอน จนสำเร็จ รวมทั้งควบคุมแรงอยาก แรงกระตุ้นทั้งหลาย ไม่ให้สนใจไปนอกลู่ นอกทาง และเป็นกระบวนการทำงานของสมองในระดับสูงที่ประมวลประสบการณ์ในอดีต และ สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นนำมาประเมิน วิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน เริ่มลงมือทำ ตรวจสอบตนเอง และแก้ไขปัญหา ตลอดจนควบคุมอารมณ์ บริหารเวลา จัดความสำคัญ กำกับตนเอง และมุ่งมั่นทำจนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ (Goal- Directed Behaviors) หรือกล่าวง่าย ๆ ได้ว่า เป็นทักษะ ความสามารถที่มนุษย์เราทุกคน ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ไม่ว่าชนชาติหรือชนชั้นใด ๆ และไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอนาคต เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็จะต้องใช้สมองเหล่านี้ในการดำเนินชีวิตทุก ๆ วันให้อยู่รอดปลอดภัย และทำกิจการงานต่าง ๆ ให้สำเร็จเรียบร้อย ดังนั้นเด็กปฐมวัยจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เด็กควรได้รับการพัฒนาทักษะ EF เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการควบคุมตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ต้องพบกับความท้าทายปัญหา อุปสรรค หรือความยากลำบากต่าง ๆ ในชีวิต ทั้งที่บ้าน โรงเรียน ที่ทำงาน และในสังคมต่อไป (วีระศักดิ์ ชลไชยะ. 2560 : 11)

5. กระบวนการผลิตผลงาน หรือขั้นตอนการดำเนินงาน

การส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง EF (Executive Function) ด้วยการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ของอนุบาลชั้นปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัน ดำเนินการโดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA ดังนี้

รูปแบบ/กระบวนการ กิจกรรมที่ปฏิบัติ

P (Plan)

การวางแผน

-วิเคราะห์สภาพปัญหา บริบทของผู้เรียน

-ศึกษาหลักสูตรปฐมวัย หลักสูตรสถานศึกษา ทฤษฎีการเรียนรู้และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะทางสมอง Executive Function (EF)

-เลือกใช้สื่อและกิจกรรมที่สอดคล้องกับการพัฒนาความสามารถทางวิทยาศาสตร์

-เขียนแผนการจัดการเรียนรู้และนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจความสอดคล้องแล้วแก้ไขตามคำแนะนำ

-วางแผนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้

D (Do)

การปฏิบัติตามแผน -ขอความร่วมมือจากผู้บริหารโรงเรียนในการทำวิจัย

-สร้างความคุ้นเคยกับเด็กกลุ่มเป้าหมาย

-ผู้วิจัยนำชุดเครื่องมือแบบทดสอบวัดทักษะการสื่อสารของเด็กปฐมวัยอายุ 5 - 6 ปีที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาทดสอบก่อนการทดลอง (Pre-test) การจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์กับกลุ่มเป้าหมาย

-ดำเนินการทดลองโดยกลุ่มเป้าหมายจะได้รับการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ซึ่งทำการทดลองในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ใช้เวลาในการทดลอง 10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 20 นาที

-ผู้วิจัยดำเนินการทดลองด้วยตนเอง โดยการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์กับกลุ่มเป้าหมาย มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นนำ ครูเข้าสู่กิจกรรมโดยการทักทายเด็ก ใช้เพลง คำคล้องจอง ปริศนาคำทาย เพื่อกระตุ้นให้สนใจและสร้างความพร้อมให้กับเด็กก่อนเริ่มกิจกรรม

ขั้นดำเนินกิจกรรม ทดลองกิจกรรมวิทยาศาสตร์

ขั้นสรุป ครูเปิดโอกาสให้เด็กได้ถามคำถามเกี่ยวกับการทดลองวิทยาศาสตร์

-เมื่อดำเนินการทดลองครบ 10 สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการทดสอบหลังการทดลอง (Post-test) กับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้แบบทดสอบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยชุดเดียวกันกับแบบทดสอบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนการทดลอง

- เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้วผู้วิจัยนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ

C (Check)

การติดตามและการประเมินผล -ประเมินผลคะแนนความสามารถทางพัฒนาการทางสมอง EF

A (Action)

การแก้ไขปรับปรุง -- นำผลการประเมินของเด็กมาวิเคราะห์ปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่อไป

6. ผลการดำเนินงาน ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ได้รับ

จากการดำเนินการจัดกิจกรรมการส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง EF (Executive Function) ด้วยกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ของอนุบาลชั้นปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัน พบว่า

1. เด็กปฐมวัยมีทักษะทางสมอง EF ก่อนได้รับการจัดประสบการณ์การจัดกิจกรรม วิทยาศาสตร์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.55 และหลังได้รับการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 21.64 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมเท่ากับ 7.09

ประโยชน์ที่ได้รับ

1. เด็กปฐมวัยได้รับการส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง EF (Executive Function)

2. ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องได้แนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง EF (Executive Function) ของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์

3. ผู้วิจัยได้ความรู้และประสบการณ์ หลักการขั้นตอนการทำวิจัยในชั้นเรียน เข้าใจถึงกระบวนการ และเทคนิคในการทำวิจัย สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพได้อย่างเหมาะสมกับวัย

7. ปัจจัยความสำเร็จ

ในการเลือกใช้แบบทดสอบเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง EF (Executive Function) ด้วยการจัดกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบ้านสัน

ผู้ใช้สื่อได้รับการช่วยเหลือและอำนวยความสะดวก สามารถสร้างผลงานได้สำเร็จลุล่วง ต้องขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี่ด้วย ซึ่งรายนามต่อไปนี้

1. ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสัน นางสายทิพย์ เกียรติวาณิช ที่ได้มอบนโยบายและดำเนินการ ส่งเสริมให้ครูและบุคลากรในโรงเรียนบ้านสันได้เข้ารับการอบรมต่าง ๆ ตลอดจนเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ ให้คำปรึกษาและแนะนำในการเลือกใช้กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะทางสมอง EF ของเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัน จนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

2. หัวฝ่ายวิชาการ นายสุริยัน สุภาคำ และครูกาญจนา กองแรง ครูปฐมวัย โรงเรียนบ้านโป่งนก ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ และคณะครู โรงเรียนบ้านสัน ที่ได้สร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อร่วม ปรึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

3. นักเรียนและผู้ปกครองชั้นอนุบาลปีที่ 3 ปีการศึกษา 2567โรงเรียนบ้านสัน ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

8. บทเรียนที่ได้รับ

8.1 ข้อสรุปผล

ผลการวิจัย เรื่อง การส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง EF (Executive Function) ด้วยการจัดกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ของชั้นอนุบาลปีที่ 3โรงเรียนบ้านสัน สามารถสรุปผลได้ว่าเด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทางสมอง ง EF ก่อนได้รับการจัดประสบการณ์การจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.55 และหลังได้รับการจัดกิจกรรมทดลองทางวิทยาศาสตร์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 21.64 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมเท่ากับ 7.09

8.2 ข้อสังเกต

จากการศึกษาการส่งเสริมพัฒนาการทาง EF (Executive Function) ด้วยการจัดกิจกรรมทดลองทางวิทยาศาสตร์ ของชั้นอนุบาลปีที่ 3โรงเรียนบ้านสัน ผู้วิจัยจะกล่าวถึงประเด็นสำคัญของการศึกษาทดลองซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

เด็กปฐมวัยมีทักษะพัฒนาการทางสมอง EF ก่อนได้รับการจัดประสบการณ์การจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.55 และหลังได้รับการจัดกิจกรรมทดลองทางวิทยาศาสตร์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 21.64 ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมเท่ากับ 7.09 เมื่อผู้วิจัยจัดประสบการณ์การจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ พบว่าเด็กปฐมวัยมีความสนใจในการทดลองกิจกรรมวิทยาศาสตร์ มีความตื่นเต้นกับกิจกรรมที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน เพราะเนื่องด้วยผู้วิจัยได้คัดเลือกกิจกรรมรูปแบบในการทำงานที่แปลกใหม่ ทำให้เด็กเกิดความตื่นเต้นและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมมากขึ้น

สุภาวดี หาญเมธี (2558 : 23) กล่าวว่า ทักษะ EF หรือ Executive Function เป็นชุดของกระบวนการทางความคิด (Mental Process) ที่ช่วยให้เรานั้นคิดเป็น มีเหตุผล ยับยั้งชั่งใจได้ วางแผนทำงานเป็น มุ่งใจจดใจจ่อ ทำอะไรไม่วอกแวก จำคำสั่ง และจัดการกับงานหลาย ๆ อย่างนั้นให้สำเร็จลุล่วงเรียบร้อยได้ สามารถจัดลำดับงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการยึดเป้าหมายแล้วทำไปเป็นขั้นตอนจนสำเร็จ ซึ่งสอดคล้องกับ จุติพร ทองคำชู (2557 : 10) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์แบบปกติ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ตามหน่วยการเรียนรู้ที่สอดแทรกสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยมุ่งเน้นให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดจากการตอบคำถาม การลงมือกระทำกับสื่อการเรียนรู้ ซึ่งมีครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และชี้แนะการปฏิบัติประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นนำ ขั้นสอน และขั้นสรุป และสอดคล้องกับ อัญชลี รังสีทอง (2556 : 18) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นการแก้ปัญหาหรือข้อสงสัย หาคำตอบ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมเรียนรู้ที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง มุ่งให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใช้การคิด สังเกต สนทนา ซักถาม แก้ปัญหา สรุปด้วยตนเองจนเกิดเป็นองค์ความรู้ สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริง ซึ่งสัมพันธ์กับผลวิจัยของขนิษฐา สุยะเพี้ยง (2560 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเพื่อหาค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) ของแผนการจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย และเพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์หลังการจัดประสบการณ์ โดยใช้เกมการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย จากผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษามีค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 86.67/95.60 เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ โดยใช้เกมการศึกษา มีคะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนเท่ากับ 28.84 คิดเป็นร้อยละ 96.13 ซึ่งสูงกว่าก่อนเรียนที่มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 25.88 โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเท่ากับ 2.96 คิดเป็นร้อยละ 9.86 และสอดคล้องกับผลวิจัยของสุมาลี หมวดไธสง (2554 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ผลวิจัยพบว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีระดับความสามารถในการคิดวิเคราะห์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

ดังนั้น การจัดกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง EF (Executive Function) ของเด็กปฐมวัย ช่วยให้เด็กมีทักษะด้านการยับยั้งชั่งใจ-การคิดไตร่ตรอง และการยืดหยุ่นของความคิด โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้มีอิสระในการแสดงออก ได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง โดยอาศัยประสบการณ์เดิม และเป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นทักษะทางสมอง สามารถช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง มีการคิด กล้าทำ อันเป็นรากฐานสำคัญให้เด็กเกิดการพัฒนาให้เหมาะสมกับวัย เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในอนาคตต่อไป

8.3 ข้อเสนอแนะ

1. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้

1.1 การจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ ควรมีขั้นนำที่น่าสนใจ แปลกใหม่ในอยู่เสมอ เพื่อเป็นการเร้าความสนใจและกระตุ้นเด็กในสนใจในกิจกรรม และช่วยให้เด็กมีสมาธิก่อนการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ได้

1.2 ครูควรมีบทบาทในการดูแลให้ความช่วยเหลือให้คำแนะนำกับเด็ก ให้เด็กได้มี ส่วนร่วมในการทดลอง และทำตามความคิดของตนเองบ้างในแต่ละโอกาส และควรให้ การเสริมแรง โดยการกล่าวคำชมเชยในผลงานของเด็กทำให้เด็กมีความมั่นใจและตั้งใจใน การทำกิจกรรม

2. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป

2.1 ควรมีการศึกษาความสามารถที่ส่งเสริมพัฒนาการทักษะทางสมอง EF (Executive Function) ของเด็กปฐมวัย จากกิจกรรมอื่น ๆ เช่น นิทาน ศิลปะ เป็นต้น

โพสต์โดย ภาณิชา : [1 เม.ย. 2568 (18:41 น.)]
อ่าน [118] ไอพี : 118.172.90.106
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
Advertisement

 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 10,775 ครั้ง
อ่านออกเขียนได้กับรักการอ่านเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
อ่านออกเขียนได้กับรักการอ่านเป็นคนละเรื่องเดียวกัน

เปิดอ่าน 12,059 ครั้ง
เตือนกินเค็มจัดเป็นมะเร็งกระเพาะ ยังทำให้ความดันโลหิตถีบตัวขึ้นสูง
เตือนกินเค็มจัดเป็นมะเร็งกระเพาะ ยังทำให้ความดันโลหิตถีบตัวขึ้นสูง

เปิดอ่าน 27,707 ครั้ง
ซักซ้อมแนวปฏิบัติการขออนุญาตไปต่างประเทศ (เพิ่มเติม)
ซักซ้อมแนวปฏิบัติการขออนุญาตไปต่างประเทศ (เพิ่มเติม)

เปิดอ่าน 16,236 ครั้ง
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2552
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2552

เปิดอ่าน 13,069 ครั้ง
ปรับลดเวลาเรียนเป็นสิ่งที่ดีมาก...ถ้าปรับหลักสูตรด้วย
ปรับลดเวลาเรียนเป็นสิ่งที่ดีมาก...ถ้าปรับหลักสูตรด้วย

เปิดอ่าน 37,759 ครั้ง
Why Do We Get Goose Bumps? (ทำไมเราจึงเกิด อาการขนลุก)
Why Do We Get Goose Bumps? (ทำไมเราจึงเกิด อาการขนลุก)

เปิดอ่าน 13,840 ครั้ง
นาฬิกาชีวิต องค์รวมสุขภาพแบบ A.M./P.M.
นาฬิกาชีวิต องค์รวมสุขภาพแบบ A.M./P.M.

เปิดอ่าน 12,526 ครั้ง
การถ่ายภาพอาหารด้วยสมาร์ทโฟนช่วยลดน้ำหนักได้
การถ่ายภาพอาหารด้วยสมาร์ทโฟนช่วยลดน้ำหนักได้

เปิดอ่าน 14,000 ครั้ง
ระบบโทรทัศน์ในประเทศไทย
ระบบโทรทัศน์ในประเทศไทย

เปิดอ่าน 43,356 ครั้ง
ทำไมขี้จิ้งจกถึงมีสองสี
ทำไมขี้จิ้งจกถึงมีสองสี

เปิดอ่าน 72,068 ครั้ง
สมการและอสมการ
สมการและอสมการ

เปิดอ่าน 118,323 ครั้ง
ความเชื่อของชาวอีสาน
ความเชื่อของชาวอีสาน

เปิดอ่าน 39,028 ครั้ง
ประโยชน์ของการเลี้ยงสัตว์
ประโยชน์ของการเลี้ยงสัตว์

เปิดอ่าน 10,499 ครั้ง
วิธีดูแลต้นไม้ในหน้าร้อน
วิธีดูแลต้นไม้ในหน้าร้อน

เปิดอ่าน 23,331 ครั้ง
แบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์
แบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์

เปิดอ่าน 15,653 ครั้ง
ซีร็อกมาจากคำว่าอะไร
ซีร็อกมาจากคำว่าอะไร
เปิดอ่าน 10,650 ครั้ง
สร้างความรู้ใหม่ คือหัวใจปฏิรูปการศึกษา : เสรี พงศ์พิศ
สร้างความรู้ใหม่ คือหัวใจปฏิรูปการศึกษา : เสรี พงศ์พิศ
เปิดอ่าน 28,939 ครั้ง
เทคโนโลยี 3G คืออะไร
เทคโนโลยี 3G คืออะไร
เปิดอ่าน 28,203 ครั้ง
เรียนคณิตศาสตร์ไปทำไม?  วิชาที่คนไม่เข้าใจ
เรียนคณิตศาสตร์ไปทำไม? วิชาที่คนไม่เข้าใจ
เปิดอ่าน 9,430 ครั้ง
เคล็ดลับลูกน้อย สมองดีมีคุณธรรม
เคล็ดลับลูกน้อย สมองดีมีคุณธรรม

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
โครงการบ้านเชียงใหม่
บ้านเชียงใหม่
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.

Thailand Web Stat

Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ