ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
Advertisement

การพัฒนานวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลงรำโทน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 (2545 น. 2) ให้ความสำคัญต่อการสืบทอด ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย รวมทั้งศิลปวัฒนธรรม โดยกำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และหลักสูตรการเรียนการสอนหนึ่งใน ศิลปวัฒนธรรมของชาติที่ถือว่าเป็นศิลปะชั้นสูง ควรค่าแก่การสืบทอด สร้างสรรค์ และพัฒนาไม่ให้หยุดนิ่ง นั่นคือ การศึกษาด้านนาฏศิลป์ไทย (อุษา สมฤกษ์, 2547, 2) เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของ เอกลักษณ์ความเป็นชาติที่มีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเองมานาน แต่กำลังจะสูญหายไปในไม่ช้าถ้ายัง ขาดการอนุรักษ์และการพัฒนาสร้างสรรค์ในทางที่เหมาะสม

สภาวะการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างรวดเร็วของสังคม ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งวิทยาการ ประกอบกับกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้โลกไร้พรมแดนการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วและไร้ซึ่งข้อจํากัด ส่งผลกระทบแก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก และประเทศไทยยังได้รับวัฒนธรรมและค่านิยมที่แปลก ใหม่จากต่างประเทศเข้ามาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การสื่อสาร หรือการพูดจา (เรณู โกศินานนท์, 2535, น. 1) แต่มีวัฒนธรรมที่ประเทศไทยยังคงรักษาไว้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ และเป็นสิ่งที่สามารถบ่งชี้ความเป็นมาของประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างดียิ่ง นั่นคือ นาฏศิลป์ ซึ่งศิลปวัฒนธรรมทางด้านนาฏศิลป์อันอ่อนช้อยงดงามนี้เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษไทยได้รักษา และสืบทอดมาแต่โบราณเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งแห่งความเจริญของชาติ นาฏศิลป์ไทยเป็น เอกลักษณ์ประจำชาติที่แสดงถึงศิลปวัฒนธรรมไทยในรูปแบบของศิลปะการแสดงประเภทต่างๆ ได้แก่ การแสดงโขนละคร ระบำ รำ ฟ้อน การบรรเลงดนตรี วรรณกรรม เป็นต้น และถือว่าเป็น ศาสตร์ทางศิลปะที่สำคัญยิ่ง เป็นที่รู้จักกันดีในรูปแบบของการแสดงที่มีลีลาอันอ่อนช้อยงดงามแสดง ถึงความเป็นอารยธรรมอันรุ่งเรืองและความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้นาฏศิลป์ยังมีประโยชน์สำหรับ ผู้ที่ได้เรียนรู้ นั่นคือ การเรียนนาฏศิลป์เป็นการใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายในการเคลื่อนไหว และ ท่าทางต่างๆของนาฏศิลป์ไทยมีท่วงที่คล้ายท่าฤาษีดัดตน จึงส่งผลให้ผู้ที่ได้ฝึกหัดเป็นผู้มีสุขภาพ ร่างกายสมบูรณ์ มีจิตใจร่าเริงแจ่มใส มีบุคลิกภาพที่ดี และยังส่งเสริมให้นักเรียนมีวินัยในตนเองใน การร่วมแสดงออกกับผู้อื่น มีสมาธิ มีความอดทนในการฝึกซ้อม มีความรับผิดชอบต่อผลงาน รู้จัก ความไพเราะของเสียงเพลง ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ที่สำคัญคือ ช่วยให้เด็กได้รู้คุณค่าของดนตรีและนาฏศิลป์ รู้คุณค่าของศิลปะและวัฒนธรรมประจำชาติและยังเข้าใจศิลปะของชาติอีกด้วย (อรวรรณ บรรจงศิลป์, 2545) การเรียนการสอนในวิชานาฏศิลป์ ไม่ใช่เป้าหมายเพียงเพื่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดสุนทรียภาพเท่านั้น แต่ต้องมุ่งเน้นการจัด ประสบการณ์ในการเรียนรู้จนสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางนาฏศิลป์ไทยได้อย่างมีคุณภาพ แต่จาก สภาพการจัดการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ของนักเรียนที่ผ่านมานั้น ครูผู้สอนวิชานาฏศิลป์ไทย มี จุดมุ่งหมายในการสอนเพียงให้ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับความรู้ และรับท่าทางการร่ายรําจากครูแต่เพียงฝ่าย เดียว โดยไม่มีการพัฒนาวิธีการสอนที่แปลกใหม่ขึ้นมาใช้สอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะสามารถปฏิบัติ ท่ารําได้ถูกต้องและสวยงาม และมีความคิดสร้างสรรค์ท่ารําที่แปลกใหม่ (อุษา สบฤกษ์, 2536)

ในการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ของโรงเรียนทุ่งช้าง ทางโรงเรียนมีการกำหนดเกณฑ์ มาตรฐานของคะแนนสอบที่ผ่านเกณฑ์คือ 50 % ของคะแนนสอบ และควรมีคะแนนค่าเฉลี่ยการ ทดสอบไม่ต่ำกว่าระดับดี อีกทั้งยังกำหนดนโยบายให้ครูผู้สอน ประเมินผลการเรียนของนักเรียนที่สอบไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ควรเกิน 3% ของนักเรียนทั้งหมด จากการ ทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนวิชานาฏศิลป์ ปีการศึกษา 2567 ภาคเรียนที่ 2 พบว่าจาก นักเรียนจำนวน 15 คน สอบไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่โรงเรียนกำหนด คํานวณเป็น เปอร์เซ็นได้ 5 % และในการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ ของโรงเรียนทุ่งช้าง ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นการเรียนการสอนที่มีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งหน่วยการเรียนรู้ที่นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำที่สุดคือ การประดิษฐ์ท่ารําและท่าทางประกอบการแสดง จากการจัดการเรียนการสอนที่ผ่านมา พบว่า นักเรียนไม่สนใจในการเรียนเท่าที่ควร ซึ่งจะนําไปสู่การปฏิบัติท่ารําไม่ได้ ทำให้นักเรียนขาดความสนุกสนานในการเรียนและ เมื่อครูให้นักเรียนจับกลุ่มเพื่อทำกิจกรรม จะมีผู้นําในการคิดท่ารํา 1-2 คนในแต่ละกลุ่ม ส่วนสมาชิกในกลุ่มที่เหลือรอปฏิบัติตาม ซึ่งทำให้สมาชิกในกลุ่มมีบทบาทไม่เท่าเทียมกัน ไม่เกิดปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังพบว่า นักเรียนชายจะจับกลุ่มกับเพื่อนนักเรียนชายด้วยกัน นักเรียนหญิงก็เช่นกัน ซึ่งโดยปกติแล้ว นักเรียนชายส่วนใหญ่มักไม่ชอบอะไรที่อ่อนช้อย กรีดกราย แต่จะชอบอะไรที่สนุกสนาน ส่งผลให้ นักเรียนไม่สนใจในเนื้อหาเท่าที่ควร และเท่าที่สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนชายและนักเรียนหญิงมี ความกระตือรือร้นและสนใจในการฝึกซ้อมท่ารําที่แตกต่างกัน

จากปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยจึงเล็งเห็นว่า การจัดการเรียนรู้ โดยการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยี ทางการศึกษาใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์นั้น มีความจําเป็นที่จะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ทักษะปฏิบัติ ของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เป็นรูปแบบการเรียนที่มีการจัดกลุ่มการ ทำงานอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน สมาชิกทุกคนในทีมจะทำกิจกรรมร่วมกันในการเรียนรู้และจะได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ เพื่อเพิ่มการเรียนรู้ของสมาชิกในทีม และลงมือปฏิบัติจนเกิดความ คล่องแคล่ว ตลอดจนสามารถประยุกต์ใช้ และเกิดการคิดริเริ่ม ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนา แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารําประกอบเพลงรำโทน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมายได้สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ เพลงที่นักเรียนสามารถเข้าใจในความหมายของเนื้อเพลงได้ง่าย เข้ากับยุคสมัย และยังเป็นการส่งเสริมและปลูกฝังให้นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ดีอีกด้วย

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม

2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

1. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ สูงขึ้น

2. มีแนวทางในการจัดการเรียนการสอน ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ในด้านจินตนาการ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การปฏิบัติและการพัฒนาตนเอง

วิธีขอบเขตการวิจัย

1. ขอบเขตเชิงประชากร

1.1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 36 คน

1.2. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย แล้วแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม โดยใช้วิธการเปรียบเทียบความสามารถที่มีความเท่าเทียมกัน จากนั้นสุ่มกลุ่มนักเรียนจากนักเรียนสองกลุ่มดังกล่าว เพื่อกำหนดเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม

2. ขอบเขตเชิงเนื้อหา

เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ หารประดิษฐ์ท่ารำ โดยใช้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD

3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

3.1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชานาฏศิลป์ โดยใช้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน

3.2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ

3.3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน

3.4. แบบประเมินทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน

4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย

ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ตลอดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567

ตัวแปรที่ศึกษา

1. ตัวแปรอิสระ ประกอบด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ 2 แบบ คือ

1.1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชานาฏศิลป์ โดยใช้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน

1.2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ

2. ตัวแปรตาม ประกอบด้วย

2.1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน

2.2. คะแนนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน

วิธีการดำเนินงาน

ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ

1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตร แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเครื่องมือ

2. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยเขียนกิจกรรมการเรียนการสอนตามทฤษฎีทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน

3. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน ซึ่งเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ

4. สร้างแบบประเมินทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน

การเก็บรวบรวมข้อมูล

1. การเตรียมตัวผู้เรียน โดยเตรียมนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 36 คน

2. ดำเนินการตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทนโดยใช้เวลาทดลอง 4 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง

3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน จำนวน 30 ข้อ

4. ทดสอบทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง ซึ่งประเมินโดยครูผู้สอนหลังจากการจัดการเรียนรู้ ครบ 4 สัปดาห์

5. รวบรวมข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูล

สรุปผลการวิจัย

1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 25.41 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 1.72 และกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 19.16 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.14 จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม ด้วยสถิติทดสอบ t ได้ค่า t=6.982 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลปรากฏว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลอง จากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

2. ผลการเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติการรำ เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 27.55 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 1.85 และกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 2.91 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.11 จากการเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติการรำ ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม ด้วยสถิติทดสอบ t ได้ค่า t=9.762 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลปรากฏว่าทักษะปฏิบัติการรำ ของกลุ่มทดลอง จากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง รำโทน สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

โพสต์โดย จิ๊บ : [27 มี.ค. 2568 (10:35 น.)]
อ่าน [100] ไอพี : 203.172.208.200
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
Advertisement

 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 27,017 ครั้ง
เคล็ดลับสำหรับบ้านไม้ ทำอย่างไรให้ไร้ปลวก
เคล็ดลับสำหรับบ้านไม้ ทำอย่างไรให้ไร้ปลวก

เปิดอ่าน 19,150 ครั้ง
โรคฉี่หนู...เชื้อร้ายที่มาพร้อมหน้าฝน
โรคฉี่หนู...เชื้อร้ายที่มาพร้อมหน้าฝน

เปิดอ่าน 18,478 ครั้ง
แนะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้คุณ "หมดไฟ" ในการทำงาน
แนะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้คุณ "หมดไฟ" ในการทำงาน

เปิดอ่าน 12,076 ครั้ง
"สับปะรด" ลดริ้วรอยบนใบหน้า
"สับปะรด" ลดริ้วรอยบนใบหน้า

เปิดอ่าน 454,848 ครั้ง
วิธีนำข่าวการศึกษาจากครูบ้านนอก ไปแปะในเว็บท่าน
วิธีนำข่าวการศึกษาจากครูบ้านนอก ไปแปะในเว็บท่าน

เปิดอ่าน 11,878 ครั้ง
5 วิธีชวนขับรถประหยัดน้ำมัน
5 วิธีชวนขับรถประหยัดน้ำมัน

เปิดอ่าน 23,052 ครั้ง
เลี้ยงปลามงคลเสริมโชคลาภ
เลี้ยงปลามงคลเสริมโชคลาภ

เปิดอ่าน 19,659 ครั้ง
ไขปริศนา ทำไม "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ชอบใส่เสื้อ"เหมือนกัน"ทุกวัน
ไขปริศนา ทำไม "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ชอบใส่เสื้อ"เหมือนกัน"ทุกวัน

เปิดอ่าน 11,494 ครั้ง
ชิคุนกุนยา โรคร้าย ที่มากับยุงลาย
ชิคุนกุนยา โรคร้าย ที่มากับยุงลาย

เปิดอ่าน 30,557 ครั้ง
อากาศร้อนจัด นักวิชาการมหิดล เตือน ฮีทสโตรค อันตราย
อากาศร้อนจัด นักวิชาการมหิดล เตือน ฮีทสโตรค อันตราย

เปิดอ่าน 110,634 ครั้ง
ประเภทของลูกเสือ
ประเภทของลูกเสือ

เปิดอ่าน 428,212 ครั้ง
ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้

เปิดอ่าน 33,084 ครั้ง
ข้อคิดและข้อควรระวังในการบริหารสถานศึกษา
ข้อคิดและข้อควรระวังในการบริหารสถานศึกษา

เปิดอ่าน 37,204 ครั้ง
เคยรู้บ้างมั้ยว่า GNU/GPL คืออะไร
เคยรู้บ้างมั้ยว่า GNU/GPL คืออะไร

เปิดอ่าน 13,119 ครั้ง
ดังพริบตา ช่างภาพชาวอินโดฯหน้าเหมือนโอบามา
ดังพริบตา ช่างภาพชาวอินโดฯหน้าเหมือนโอบามา

เปิดอ่าน 20,184 ครั้ง
คู่มือและแนวปฏิบัติสำหรับการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย
คู่มือและแนวปฏิบัติสำหรับการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย
เปิดอ่าน 29,823 ครั้ง
มาค้นหาไฟล์ใหญ่ๆในฮาร์ดดิสก์กันเถอะ
มาค้นหาไฟล์ใหญ่ๆในฮาร์ดดิสก์กันเถอะ
เปิดอ่าน 10,891 ครั้ง
หมู่บ้านอยู่แล้วรวยตามฮวงจุ้ย
หมู่บ้านอยู่แล้วรวยตามฮวงจุ้ย
เปิดอ่าน 16,558 ครั้ง
โหงวเฮ้งดี เปลี่ยนได้ไ่ม่ยาก!
โหงวเฮ้งดี เปลี่ยนได้ไ่ม่ยาก!
เปิดอ่าน 117,471 ครั้ง
ฟุตซอล(Futsal):  กติกาข้อ 8  ระยะเวลาของการแข่งขัน
ฟุตซอล(Futsal): กติกาข้อ 8 ระยะเวลาของการแข่งขัน

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
โครงการบ้านเชียงใหม่
บ้านเชียงใหม่
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.

Thailand Web Stat

Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ