๑.๑ เหตุผลและความจำเป็น
ในปัจจุบันทักษะการอ่านออกเสียงคำของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางการอ่านและการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักเรียนบางกลุ่มยังคงประสบปัญหาในการออกเสียงคำที่ถูกต้อง โดยเฉพาะคำที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น คำที่มี "ห นำ" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการออกเสียงในภาษาไทยที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
จากการศึกษาพบว่า การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) สามารถช่วยส่งเสริมความสนใจและการมีส่วนร่วมของนักเรียนได้เป็นอย่างดี โดยนักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครู อีกทั้งการใช้แบบฝึกทักษะอ่านคำร่วมด้วยจะช่วยให้นักเรียนสามารถฝึกฝนการออกเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
๑.๒ ปัญหาหรือความต้องการ
๑. นักเรียนบางส่วนมีปัญหาในการอ่านออกเสียงคำที่มี "ห นำ" ไม่ถูกต้อง
๒. การเรียนการสอนแบบเดิมเน้นการบรรยายมากกว่าการฝึกปฏิบัติ ทำให้นักเรียนขาดโอกาสในการฝึกฝน
๓. ขาดสื่อและกิจกรรมที่สามารถกระตุ้นให้นักเรียนสนใจและฝึกฝนการอ่านออกเสียงได้อย่างต่อเนื่อง
๔. ครูต้องการแนวทางหรือสื่อที่สามารถช่วยพัฒนาความสามารถด้านการอ่านออกเสียงของ นักเรียนได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
๑.๓ แนวคิดหลักและหลักการสำคัญในการออกแบบผลงานหรือนวัตกรรม การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning)
ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่นักเรียนมีส่วนร่วม เช่น เกม คำคล้องจอง บทบาทสมมติ และการฝึกอ่านออกเสียงผ่านสื่อโต้ตอบ ช่วยให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้และสามารถจดจำคำศัพท์และการออกเสียงได้ดียิ่งขึ้น
๑.๔ การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านคำ
จัดทำแบบฝึกทักษะที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่ระดับง่ายไปถึงระดับยากออกแบบให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของนักเรียนแต่ละคนเน้นการฝึกอ่านออกเสียงซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืน
๑.๕ การประเมินและการให้ข้อเสนอแนะอย่างต่อเนื่อง
มีการวัดผลและประเมินพัฒนาการด้านการอ่านออกเสียงของนักเรียนเป็นระยะใช้การให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะเฉพาะบุคคล เพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะของตนเองได้อย่างเต็มที่