ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
Advertisement

รายงานผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best practice)

รายงานผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice)

ระดับมัธยมศึกษา

ชื่อผลงาน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องฟังก์ชันกำลังสอง โดยใช้การจัด

กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

ผู้เสนอผลงาน นางศราวดี ลูกอินทร์

ตําแหน่ง ครู

หน่วยงาน โรงเรียนสิงห์บุรี

สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง

๑. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

ปัจจุบันผลจากการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ สังคม และสถานการณ์สังคม ส่งผลให้ทุกประเทศทั่วโลกกําหนดทิศทางการผลิตและพัฒนากําลังคนของประเทศให้มีทักษะและ สมรรถนะ ระดับสูง การจัดการศึกษาในปัจจุบันจึงต้องมุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมี ทักษะในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยทักษะที่เรียกตามคําย่อ ๆ ว่า 3Rs + BCs ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้ 3Rs ได้แก่ อ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็น ส่วน BCs ได้แก่ ทักษะด้านการคิดอย่างมี วิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ทักษะด้านความ เข้าใจต่างวัฒนธรรม ทักษะด้านความร่วมมือทักษะด้านการสื่อสารทักษะด้านคอมพิวเตอร์เทคโนโลยี สารสนเทศ ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ ซึ่งการศึกษาที่ดีสําหรับคนยุคใหม่นั้น ไม่เหมือน การศึกษาเมื่อสิบหรือยี่สิบปีที่แล้ว การศึกษาที่มีคุณภาพจะต้องเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ไป ตามความถนัดของนักเรียน และบทบาทของครูก็ต้องเปลี่ยน กล่าวคือครูต้องเปลี่ยนบทบาทของ ตนเองจาก “ครูสอน" ไปเป็น “ครูฝึก” และต้องเรียนรู้ทักษะในการทําหน้าที่โดยรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง (ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์, 2551, น. 77-78)

ในการสอนที่ผ่านมาพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำในเรื่องความสัมพันธ์และฟังก์ชัน และเรื่องที่จะต้องนำไปต่อยอดที่เจอบ่อยๆ คือเรื่องฟังก์ชันกำลังสอง จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นที่นักเรียนจะต้องได้รับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ซึ่งพบว่านักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถแก้ปัญหาโจทย์ได้ อ่านโจทย์แล้วไม่เข้าใจ แสดงว่านักเรียนยังขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์และการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ได้ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ตกต่ำ ดังนั้นครูควรหาวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม ในการพัฒนาการคิดวิเคราะห์และทักษะการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ให้สูงขึ้น วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับการสอนคณิตศาสตร์อีกวิธีหนึ่งคือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค TAI การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรายบุคคลหรือเทคนิค TAI เป็นวิธี สอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) กับการเรียนเป็นรายบุคคล (Individualization Instruction) เข้าด้วยกันเป็นวิธีการเรียนการสอนที่สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยให้ผู้เรียนลงมือกระทํากิจกรรมการเรียนด้วยตนเองตามความสามารถจากแบบฝึกทักษะและส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม กําหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถต่างกันมาทํางานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยปกติจะมี 4 คน นักเรียนเก่ง 1 คน นักเรียนปานกลาง 2 คน และนักเรียนอ่อน 1 คน ผลการทดสอบของนักเรียนถูก แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ เป็นคะแนนเฉลี่ยทั้งกลุ่มและเป็นคะแนนรายบุคคล ในการทดสอบนักเรียนต่างคนต่างทํา แต่เวลาเรียนต้องร่วมมือกัน (Slavin, 1990, pp. 22-24) และศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558, น. 142) กล่าวว่า TAI (Team Assisted Individualization) คือ วิธีการสอนที่ผสมผสาน ระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization) เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทํากิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของตนและ ส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI มีข้อดีหลายประการ การเรียนแบบ TAI ช่วย

ให้เกิดแรงจูงใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถของตนเอง ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความช่วยเหลือ สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาเด็กอ่อนในห้องเรียนได้ สนองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างดี เด็กที่เรียนช้ามีเวลาศึกษาและฝึกฝนเรื่องที่ไม่เข้าใจมากขึ้น และเด็กที่เรียนเร็วใช้เวลาศึกษาน้อยและมีเวลาไปทำอย่างอื่น เช่น ช่วยเหลือเพื่อนที่อ่อนในกลุ่ม ช่วยให้เกิดการยอมรับในกลุ่ม โดยเด็กเก่งยอมรับเด็กอ่อนและเด็กอ่อนเห็นคุณค่าของเด็กเก่ง ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในการสอนข้อเท็จจริงต่าง ๆทำให้ผู้สอนมีเวลาสร้างสรรค์งานสอน ปรับปรุงงานสอนมากขึ้น และมีเวลาที่จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมเร้าความสนใจ หรืออภิปรายปัญหากับนักเรียนเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย ปลูกฝังนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม มีการเสริมแรงให้เกิดขึ้นทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจ และความสนใจแก่ผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเองมากขึ้นและทราบความก้าวหน้าของตนเองตลอดเวลา (นงลักษณ์ ระงับภัย. 2539 : 39-40)

ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงนําแนวทางการจัดกิจกรรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ

เทคนิคTAI มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่องฟังก์ชันกำลังสอง

๒. วัตถุประสงค์ของการวิจัย

1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่องฟังก์ชันกำลังสอง

2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ต่อการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI

เป้าหมาย

เป้าหมายเชิงปริมาณ : นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนสิงห์บุรี จำนวน 1ห้อง ร้อยละ 75 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด (ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม)

เป้าหมายเชิงคุณภาพ : นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก

๓. ขั้นตอนการดำเนินงาน

. 3.1. วางแผนงาน ขั้นตอนการดำเนินงาน (PLAN)

1. วิเคราะห์ปัญหา

2. วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสิงห์บุรี ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2563 ในเรื่องของ มาตรฐานการเรียน และตัวชี้วัด ของเนื้อหา เรื่อง ฟังก์ชันกำลังสอง

3. ศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่มเทคนิค TAI , วิธีการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจ

4. ดำเนินการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มเทคนิค TAI

5. ดำเนินการจัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง

ฟังก์ชันกำลังสอง

6. ดำเนินการจัดทำแบบสอบถามความพึงพอใจเกี่ยวกับการจัด การเรียนรู้โดยใช้

การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิคTAI

7. นำโครงร่างแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ และ แบบสอบถามความพึงพอใจ ไปให้ครูผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิชาคณิตศาสตร์ตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม พร้อมทั้งเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไข

3.2 การดำเนินงานตามกิจกรรม (DO)

ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามที่วางแผนไว้ดังนี้

1. ปฐมนิเทศนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ชี้แจงข้อตกลงเบื้องต้นในการเรียนการสอน

2 ดําเนินการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับกลุ่มตัวอย่างก่อนการจัดกิจกรรม

การเรียนรู้ โดยใช้การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

3. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้

การจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่อง ฟังก์ชันกำลังสอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ตามสาระการเรียนรู้แต่ละเรื่องของการเรียนการสอนตามตารางสอนปกติ

4. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ผู้วิจัยได้ดําเนินการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับ

นักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบชุดเดิม

3.3 การประเมินผลการดำเนินงาน (CHECK)

1. วัดและประเมินผล

- เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ผู้วิจัยได้ดําเนินการทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องฟังก์ชันกำลังสอง จำนวน 20 ข้อกับนักเรียนกลุ่ม

ตัวอย่างด้วยแบบทดสอบชุดเดิม

- นำคะแนนของนักเรียนทั้งหมดมาหาค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)

- เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน

2. แบบสอบถามความพึงพอใจจำนวน 10 ข้อ

- ให้นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้

การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่อง ฟังก์ชันกำลังสอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เรื่องฟังก์ชันกำลังสอง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีหาค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยมีเกณฑ์ในการแปลความหมายของค่าคะแนนเฉลี่ย (สมบูรณ์ สุริยวงศ์, สมจิตรา เรืองศรี, และเพ็ญศรี เศรษฐวงศ์, 2544, หน้า 76) ดังนี้

ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 มีความพึงพอใจมากที่สุด

ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 มีความพึงพอใจมาก

ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 มีความพึงพอใจปานกลาง

ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 มีความพึงพอใจน้อย

ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 มีความพึงพอใจน้อยที่สุด

3.4 การปรับปรุงและพัฒนา

- หากมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ใช้วิธีสอนเสริมและกระบวนการกลุ่ม

เทคนิค TAI อีกครั้งแล้วดำเนินการทดสอบใหม่จนกระทั่งนักเรียนมีผลการวัดประเมินผลผ่านเกณฑ์

๔. ผลการดำเนินการ/ผลลัพธ์/ประโยชน์ที่ได้รับ

4.1 ผลการดำเนินการ

เชิงปริมาณ : นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนสิงห์บุรี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสิงห์บุรี อ่างทอง จำนวน 1ห้อง ร้อยละ 80 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด (ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม)

เชิงคุณภาพ : นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด

4.2 ผลลัพธ์ของผู้เรียน

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 เฉลี่ย 7.80 จากคะแนน 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 39.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) เท่ากับ 1.95 ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนเฉลี่ย 15.50 จากคะแนน 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77.50 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) เท่ากับ 2.43 จากการทดสอบทั้งสองครั้งผลปรากฎว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 7.70 คิดเป็นร้อยละ 39.00 ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นหลังจากได้เรียนรู้กิจกรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เป็นไปตามสมมติฐานที่วางไว้

4.3 ประโยชน์ที่ได้รับ

1 ผู้เรียนเกิดทักษะด้านการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองสร้างความภูมิใจให้กับผู้เรียน

นอกจากนี้หากผู้เรียนไม่เข้าใจตรงไหน สามารถขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่มที่เก่งกว่าให้อธิบายให้จนกระทั่งเกิดการเรียนรู้ที่ก้าวหน้าขึ้น และยังเป็นการสร้างความสามัคคีกันภายในกลุ่ม

2. ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์

3. ครูผู้สอนได้พัฒนาศักยภาพของตนเองด้วยการแสวงหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ

ออกแบบเทคนิคและวิธีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถสร้างสื่อและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาอีกด้วย นอกจากนี้ยังเกิดประโยชน์กับเพื่อนครูคือช่วยแนะนำวิธีการสอนด้วยเทคนิคนี้ให้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในระดับชั้นอื่นๆ

4. ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียนสูงขึ้น

5. โรงเรียนได้รับศรัทธาความเชื่อมั่นจากผู้ปกครอง และชุมชนในการจัดการเรียน

การสอน

6. ชุมชนเกิดความเชื่อมั่น ศรัทธาในโรงเรียนจึงเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมสนับสนุน พัฒนาโรงเรียนให้ดีขึ้นไป

5. ปัจจัยความสำเร็จ

1. คณะผู้บริหารโรงเรียนสิงห์บุรี ให้การส่งเสริม สนับสนุน และให้กำลังใจกับครูและนักเรียนในการดำเนินการเป็นอย่างดี

2. ครูผู้สอนมีความพร้อมเตรียมการอย่างมีขั้นตอนตามแผนที่กำหนดไว้ มีกัลยามิตรที่ดีต่อผู้เรียนทำให้ผู้เรียนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเป็นอย่างดี

๓. การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญและผสมผสานระหว่างการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือและแบบรายบุคคลเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เรียนตามความสามารถและความถนัดของตนเอง สำหรับผู้เรียนที่มีผลการเรียนอ่อน หรือเกิดการเรียนรู้ชา สามารถศึกษาด้วยตนเองได้ เมื่อไม่เข้าใจก็ให้ผู้เรียนที่เก่งกว่าช่วยอธิบายจนเกิดการเรียนและทำด้วยตนเองได้ สำหรับผู้เรียนที่เก่งเมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้วก็มีเวลาว่างพอที่จะช่วยอธิบายให้เพื่อนฟัง เกิดความสามัคคีในกลุ่ม

4. สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 เป็นนักเรียนที่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน และตั้งใจในการทำกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นอย่างดี

6. บทเรียนที่ได้รับ

1. ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะ ด้านการคิด แก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ มีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้

2. เป็นการกระตุ้นผู้เรียนได้แสดงความสามารถของตนก่อน เด็กที่มีผลการเรียนอ่อนได้ฝึกฝนในเรื่องที่ไม่เข้าใจและหากไม่ผ่านจะมีเพื่อนคอยช่วยเหลือจนกระทั้งผ่านเกณฑ์ได้

3. ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการช่วยเหลือกันในกลุ่ม

๗. การเผยแพร่

1. นําเสนอกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ให้แก่คณะครูโรงเรียนสิงห์บุรีไปปรับใช้ด้านการจัด การเรียนการสอน โดยการใช้สื่อการสอนหรือนวัตกรรมในการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยดึงดูดความสนใจของนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย

2. การเผยแพร่ ไปยังช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook, Line เพื่อเป็นความรู้ให้แก่เพื่อนครูท่านอื่น ๆ

3. เผยแพร่ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) แก่ครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นอื่น ๆ

๘. บรรณานุกรม

นงลักษณ์ ระงับภัย. การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้น

ประถมศึกษาปีที่ 3 เรื่องเศษส่วน ที่เรียนโดยวิธีสอนแบบกลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้กับวิธีสอน

ตามปกติ. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2539

ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์. (2561), พื้นฐานการศึกษา, กรุงเทพฯ: มีนเซอร์วิส ซัพพลาย, ปรียา สถิระ

บุตร. (2558). การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การคูณ การหาร สําหรับนักเรียน

ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับการวาดรูปบาร์

วารสารวิจัยและประเมินผลอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย. (2558). วิธีสอนทั่วไป. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยลัยศิลปากร วิทยาเขต

พระราชวังสนามจันทร์

สมบูรณ์ สุริยวงศ์, สมจิตรา เรืองศรี และเพ็ญศรี เศรษฐวงศ์. (2544). ระเบียบวิธีวิจัยทางการศึกษา

กกกกกกก(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ.

Slavin, Robert E. (1990). Cooperative Leaming: Theory, Research and Practice. New

Jersey.Prentice-Hall.

โพสต์โดย Sara : [19 ก.พ. 2568 (14:47 น.)]
อ่าน [143] ไอพี : 125.26.165.248
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
Advertisement

 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 12,044 ครั้ง
ทำไมขนมโดนัทจึงมีรู
ทำไมขนมโดนัทจึงมีรู

เปิดอ่าน 17,071 ครั้ง
"มะระ" ป้องเบาหวาน-จัดการริดสีดวง!
"มะระ" ป้องเบาหวาน-จัดการริดสีดวง!

เปิดอ่าน 22,415 ครั้ง
ภัยขนมถุงทำลายสุขภาพลูกรัก
ภัยขนมถุงทำลายสุขภาพลูกรัก

เปิดอ่าน 14,232 ครั้ง
พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ.2562
พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ.2562

เปิดอ่าน 17,661 ครั้ง
คลอด ‘เกณฑ์ย้ายเฉพาะกิจ’ แก้ปม..ร้างผู้บริหาร 7 พันตำแหน่ง ทางออกสุดท้าย..ของ ก.ค.ศ.?
คลอด ‘เกณฑ์ย้ายเฉพาะกิจ’ แก้ปม..ร้างผู้บริหาร 7 พันตำแหน่ง ทางออกสุดท้าย..ของ ก.ค.ศ.?

เปิดอ่าน 12,850 ครั้ง
11 ก.พ.นี้ ห้ามสูบบุหรี่ใน "ผับ-เธค-สวนอาหาร-จตุจักร"
11 ก.พ.นี้ ห้ามสูบบุหรี่ใน "ผับ-เธค-สวนอาหาร-จตุจักร"

เปิดอ่าน 12,989 ครั้ง
ประเภทของเครื่องปรับอากาศ และวิธีใช้อย่างประหยัด
ประเภทของเครื่องปรับอากาศ และวิธีใช้อย่างประหยัด

เปิดอ่าน 87,090 ครั้ง
เทคนิคพิเศษในการระบายสี
เทคนิคพิเศษในการระบายสี

เปิดอ่าน 9,159 ครั้ง
Smart Thailand
Smart Thailand

เปิดอ่าน 19,837 ครั้ง
อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร มรดกวัฒนธรรม
อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร มรดกวัฒนธรรม

เปิดอ่าน 10,969 ครั้ง
วิธีดูแลรักษาที่นอน
วิธีดูแลรักษาที่นอน

เปิดอ่าน 8,961 ครั้ง
ร้อนตับแตก มีที่มาอย่างไร
ร้อนตับแตก มีที่มาอย่างไร

เปิดอ่าน 154,602 ครั้ง
นิยามทางการศึกษา
นิยามทางการศึกษา

เปิดอ่าน 53,583 ครั้ง
มารยาทในการกล่าวขอโทษ (Excuse me)
มารยาทในการกล่าวขอโทษ (Excuse me)

เปิดอ่าน 20,250 ครั้ง
ทำอย่างไรดี...คอเคล็ดพราะตกหมอน
ทำอย่างไรดี...คอเคล็ดพราะตกหมอน

เปิดอ่าน 16,116 ครั้ง
คลิปรายการ เจาะข่าวเด่น 6 มี.ค.2556 ตอน "ทุจริตสอบครูผู้่ช่วย"
คลิปรายการ เจาะข่าวเด่น 6 มี.ค.2556 ตอน "ทุจริตสอบครูผู้่ช่วย"
เปิดอ่าน 47,409 ครั้ง
คู่มือการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษารักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัด สพฐ. (ฉบับปรับปรุงแก้ไข)
คู่มือการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษารักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัด สพฐ. (ฉบับปรับปรุงแก้ไข)
เปิดอ่าน 21,649 ครั้ง
วีดิทัศน์คณิตศาสตร์ ชั้น ป.4 โดย สสวท.
วีดิทัศน์คณิตศาสตร์ ชั้น ป.4 โดย สสวท.
เปิดอ่าน 12,132 ครั้ง
ปฏิรูปการศึกษาหลังยุค รธน.มีชัย โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์
ปฏิรูปการศึกษาหลังยุค รธน.มีชัย โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์
เปิดอ่าน 8,073 ครั้ง
สาธิตการเติมสันจมูกให้ได้รูป
สาธิตการเติมสันจมูกให้ได้รูป

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
โครงการบ้านเชียงใหม่
บ้านเชียงใหม่
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.

Thailand Web Stat

Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ