ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM Education) ร่วมกับวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) เรื่อง แรงเพื่อชุมชน เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการทำงานเป็นทีม และเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึก

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ และ 4) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีขั้นตอนการวิจัย 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นศึกษาสภาพปัญหาและความจำเป็นในการพัฒนารูปแบบ 2) ขั้นการสร้างและพัฒนารูปแบบ 3) ขั้นการทดลองใช้รูปแบบ และ 4) ขั้นการประเมินผลรูปแบบ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านป่าเตย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวนนักเรียน 16 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 1 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2) แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 3) เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ แบบประเมินทักษะการทำงานเป็นทีม แบบวัดเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์โดยการคำนวณหาค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.)

ผลการวิจัยพบว่า

1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า 1) ผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA) การทดสอบด้านวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนขยายโอกาสในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 592.50 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ (660.25) 2) ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ปีการศึกษา 2560-2562 พบว่า มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 67.81, 66.56 และ 68.65 ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนด คือร้อยละ 70 3) ผลการประเมินหน่วยการเรียนรู้ที่มีผลสัมฤทธิ์ค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ หน่วยที่ 2 เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.42, 23 และ 23.33 ตามลำดับ 4) ผลจากการทำวิจัยในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหา พบว่า ในปีการศึกษา 2561 ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 65.71 และปีการศึกษา 2562 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 66.67 ด้านการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 68.63 ซึ่งต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนด คือร้อยละ 70 ส่วนด้านทักษะการทำงานเป็นทีม มีค่าเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 74.40 ซึ่งต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนด คือ ร้อยละ 80 ขึ้นไป 5) ผลการวิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้ พบว่า หน่วยที่ 2 เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ในมาตรฐาน ว 2.2 ม.2/1-ม.2/10 ปีการศึกษา 2560-2562 มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยภาพรวม เท่ากับ 67.73 หรือคิดเป็นร้อยละ 67.73 6) ผลการวิเคราะห์การสำรวจความสามารถพิเศษด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Mi–Test) พบว่า นักเรียนมีแววความสามารถพิเศษ ลำดับ ที่ 1 คือ ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และด้านเครื่องกลและอิเล็กทรอนิกส์ (คิดเป็นร้อยละ 68.42) รองลงมาคือความสามารถด้านศิลปะ (คิดเป็นร้อยละ 57.89) และความสามารถด้านภาษาและด้านการเคลื่อนไหว (คิดเป็นร้อยละ 36.84) ตามลำดับ และ 7) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดทำชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนด (ร้อยละ 70) นักเรียนไม่ชอบทำกิจกรรมกลุ่มหรือทีม ชอบทำงานรายบุคคลและขาดทักษะในการทำงานเป็นทีม

รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ยังไม่เป็นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่สามารถพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียน เช่น ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการแก้ปัญหาได้ และขาดสื่อและนวัตกรรมที่กระตุ้นและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน ตามลำดับ

2. ผลการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ พบว่า มีองค์ประกอบที่สำคัญ 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4) แนวทางการนำรูปแบบไปใช้ และ 5) การประเมินผลรูปแบบ โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 6 ขั้น คือ 1)ขั้นระบุปัญหา (Problem : P) 2) ขั้นสืบเสาะและรวบรวมข้อมูล(Investigation : I) 3) ขั้นออกแบบเชิงวิศวกรรมนำความรู้ไปใช้(Model creating by engineering design : M) 4) ขั้นนำเสนอผลงาน(Present : P) 5) ขั้นเสนอแนะและสะท้อนการเรียนรู้ (Interactive feedback and reflection : I) 6) และขั้นสรุปและประเมินผลการเรียนรู้ (Summary and evaluation : S) ส่วนผลการประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบ พบว่า ในภาพรวมผลการประเมินองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.79 ผลการประเมินคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในภาพรวม พบว่า มีความเหมาะสมมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.84 ผลการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) พบว่า มีความเหมาะสมมากที่สุด และผลการศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.23/78.75 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กำหนดไว้

3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน (ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 13.06, หลังเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.63 คะแนน 82.10) มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6236 หรือมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 62.36 ความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน (ก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.38 คะแนน, หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 25.56 คะแนน) ผลการประเมินทักษะการทำงานเป็นทีม อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.00) และ

เจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน (ก่อนเรียน ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.86 อยู่ในระดับ ปานกลาง, หลังเรียน ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.82 อยู่ในระดับมาก)

4. ผลการประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจ หลังเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.52)

คำสำคัญ : การพัฒนารูปแบบ ; สะเต็มศึกษา (STEM Education) ; วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) ; ความคิดสร้างสรรค์ ; ทักษะการทำงานเป็นทีม ; เจตคติต่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์

พิมพ์พิชชา ศาสตราชัย ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านป่าเตย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร

โพสต์โดย ครูบ้านป่า : [17 ก.พ. 2568 (09:35 น.)]
อ่าน [94] ไอพี : 203.172.192.102
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 11,205 ครั้ง
อยู่อย่างไรให้ห่างไกล มะเร็งเต้านม
อยู่อย่างไรให้ห่างไกล มะเร็งเต้านม

เปิดอ่าน 11,729 ครั้ง
กูเกิล เผยอันดับคำค้นสุดฮิตของไทย ประจำปี 2012
กูเกิล เผยอันดับคำค้นสุดฮิตของไทย ประจำปี 2012

เปิดอ่าน 14,720 ครั้ง
"ผมร่วง" แก้ไขยังไงดี
"ผมร่วง" แก้ไขยังไงดี

เปิดอ่าน 19,305 ครั้ง
ผักสุกมีคุณค่าอาหารสูงกว่าดิบ
ผักสุกมีคุณค่าอาหารสูงกว่าดิบ

เปิดอ่าน 99,396 ครั้ง
20 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้
20 เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้

เปิดอ่าน 80,040 ครั้ง
วิธีการสอนนกแก้ว นกขุนทองพูด
วิธีการสอนนกแก้ว นกขุนทองพูด

เปิดอ่าน 13,236 ครั้ง
การศึกษาไทย 2.0
การศึกษาไทย 2.0

เปิดอ่าน 1,908 ครั้ง
ส่อง 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ ปี 2023
ส่อง 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ ปี 2023

เปิดอ่าน 18,001 ครั้ง
ผลมะเฟือง กินดี ควบคุมน้ำหนัก
ผลมะเฟือง กินดี ควบคุมน้ำหนัก

เปิดอ่าน 11,558 ครั้ง
8 ข้อปฏิบัติอยู่อย่างเป็นสุข
8 ข้อปฏิบัติอยู่อย่างเป็นสุข

เปิดอ่าน 11,534 ครั้ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคณะองคมนตรี หนังสือที่ควรมีไว้ประจำบ้าน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคณะองคมนตรี หนังสือที่ควรมีไว้ประจำบ้าน

เปิดอ่าน 12,331 ครั้ง
ชื่นชมพระบารมี สมเด็จพระเทพฯ ทรงขับร้องเพลง "ขอใจเธอแลกเบอร์โทร"
ชื่นชมพระบารมี สมเด็จพระเทพฯ ทรงขับร้องเพลง "ขอใจเธอแลกเบอร์โทร"

เปิดอ่าน 74,563 ครั้ง
อนาคตที่เป็นไปได้ เริ่มต้นที่ความใส่ใจของคุณครูทุกคน
อนาคตที่เป็นไปได้ เริ่มต้นที่ความใส่ใจของคุณครูทุกคน

เปิดอ่าน 10,564 ครั้ง
ไข่ดิบมีประโยชน์จริงหรือ
ไข่ดิบมีประโยชน์จริงหรือ

เปิดอ่าน 9,522 ครั้ง
ซีพียูรุ่นใหม่ในยุคคนใช้โน้ตบุ๊คไม่ง้อปลั๊ก
ซีพียูรุ่นใหม่ในยุคคนใช้โน้ตบุ๊คไม่ง้อปลั๊ก

เปิดอ่าน 15,654 ครั้ง
QR CODE คืออะไร
QR CODE คืออะไร
เปิดอ่าน 9,908 ครั้ง
สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของสัตว์
สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของสัตว์
เปิดอ่าน 87,867 ครั้ง
สุภาษิต-คำพังเพยเข้าถึงเด็กไทย แนะใช้บ่อย-สื่อเห็นภาพจริง
สุภาษิต-คำพังเพยเข้าถึงเด็กไทย แนะใช้บ่อย-สื่อเห็นภาพจริง
เปิดอ่าน 10,743 ครั้ง
อ่านออกเขียนได้กับรักการอ่านเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
อ่านออกเขียนได้กับรักการอ่านเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
เปิดอ่าน 25,742 ครั้ง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาวิทยาศาสตร์ไทย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาวิทยาศาสตร์ไทย

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
โครงการบ้านเชียงใหม่
บ้านเชียงใหม่
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ