๑.แนวคิด/กระบวนการด้านการบริหารจัดการของโรงเรียน
ในการบริหารสถานศึกษานั้น โรงเรียนสมนึกพิทยา เป็นสถานศึกษาเอกชน ได้รับการอนุญาตจัดตั้ง เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ เปิดสอนระดับชั้นอนุบาล ถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๓ กำหนดนโยบายและจุดเน้นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการบริหารนอกจากผู้บริหารจะมีบทบาทสําคัญในสถานศึกษาแล้ว ครูและบุคลากรทางการศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษา หรือบุคคลในองค์การก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้องค์กรก้าวหน้าไปได้
การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนสมนึกพิทยา เน้นการบริหารที่จะให้มีการยอมรับและความเข้าใจระหว่างผู้บริหารและผู้ที่อยู่ในองค์กร แนวความคิดหนึ่งของการบริหารก็คือ การบริหารแบบมีส่วนร่วม ให้หลายฝ่ายมีส่วนร่วม (Participative Management) โดยยึดหลักโรงเรียนเป็นฐาน SBM (School Based Management) โดยใช้กระบวนการ PDCA ในการพัฒนาแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ คุณภาพเด็ก คุณภาพครู คุณภาพการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดโรงเรียนคุณภาพ โดยใช้ SOMNUK MODEL ใช้ในการบริหารจัดการ ทั้ง ๔ กลุ่มของโรงเรียน คือ กลุ่มบริหารวิชาการ กลุ่มบริหารงานทั่วไป กลุ่มบริหารงานบุคลากร และกลุ่มบริหารงบประมาณ ส่งผลให้การดำเนินงานตามโครงการ และกิจกรรมเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตามที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการ ส่งผลดีต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียน
๒.วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน
๒.๑.วัตถุประสงค์
๑) เพื่อพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ
๒) เพื่อส่งเสริมพัฒนาครู บุคลากร ให้มีความรู้ ความสามารถและเป็นครูมืออาชีพ
๓) เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลายและได้ประสบการณ์ตรงอันจะส่งผลต่อการคุณภาพการเรียนรู้ที่ยั่งยืน
๒.๒ เป้าหมาย
๑) ครู บุคลากร โรงเรียนสมนึกพิทยา ทุกคน
๒) นักเรียนโรงเรียนสมนึกพิทยา ทุกคน
๓. การพัฒนานวัตกรรม
การบริหารโรงเรียนคุณภาพโดยใช้ SOMNUK MODEL เป็นรูปแบบการบริหารโรงเรียน ที่มุ่งสู่ การพัฒนาโรงเรียนทุกด้าน เพื่อให้นักเรียนที่เป็นผลผลิต เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดี มีความสามารถ และ อยู่อย่างมีความสุข โดยบริหารให้สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและประสบการณ์ในการบริหารโรงเรียน ใช้กระบวนการวงจรคุณภาพ PDCA ในการพัฒนา และใช้ทฤษฎี การบริหารแบบมีส่วนร่วม ส่งผลให้การดำเนินการบริหารจัดการศึกษาบรรลุเป้าหมาย มีรายละเอียดของการพัฒนานวัตกรรมการบริหารโรงเรียน ดังนี้
ขั้นตอนที่ ๑ สำรวจและวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ด้านต่าง ๆ ของโรงเรียน โดยใช้เทคนิค SWOT Analysis จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทำให้ทราบถึงบริบท ของโรงเรียนว่า ขณะนี้อยู่ ณ จุดใด (Where are we now ? ) เพื่อจัดลำดับความสำคัญและกำหนดกรอบ ในการพัฒนา
ขั้นตอนที่ ๒ การวางแผน (Plan) เป็นการออกแบบนวัตกรรมรูปแบบการบริหารโรงเรียน โดยใช้ SOMNUK MODEL เพื่อให้สอดคล้องกับโรงเรียนสมนึกพิทยา จากผลสรุปของการวิเคราะห์องค์กร จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคการพัฒนาโรงเรียนในขั้นตอนที่ ๑ โรงเรียนจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายและแนวทางดำเนินงานในอนาคตที่ชัดเจน จึงต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์ ให้มองเห็นภาพแห่งความสำเร็จที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ที่มีความท้าทายต่อโรงเรียน ด้วยปัจจัยที่มีอิทธิพลทั้งภายในและภายนอกเพื่อการพัฒนาเป็นโรงเรียนคุณภาพ (Quality School) ว่าเราจะไปสู่เป้าหมายที่ต้องการอย่างไร (How do we get there?)
ขั้นตอนที่ ๓ ขั้นตอนปฏิบัติตามแผน (Do) เป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ กับบุคลากรทุกฝ่าย เพื่อนำนวัตกรรมรูปแบบการบริหารโรงเรียน โดยใช้ SOMNUK MODEL ไปใช้ในการดำเนินงานของทุกฝ่ายในการบริหารโรงเรียน มีการกำหนดแบบวิธีดำเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในอนาคต เพื่อการพัฒนาศักยภาพของคนให้สามารถพัฒนานวัตกรรม ที่มีการทำงานโดยการมีส่วนร่วม /ทำงานเป็นทีม เพื่อสร้างคุณค่าให้กับโรงเรียน ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนอย่างเป็นระบบ ในประเด็นที่จะต้องทำหรือเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เพื่อไปถึงจุดนั้น (What do we have to do or change?) การนำนวัตกรรมการบริหาร ใช้ในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการประจำปี ที่มีโครงการ / กิจกรรม ระบุขั้นตอนการดำเนินงาน แบบ PDCA อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับรูปแบบของนวัตกรรมการบริหารที่กำหนดไว้ โดยมีกลยุทธ์ในการดำเนินงาน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ดังนี้
S = Strategic Management การบริหารเชิงกลยุทธ์
เป็นการบริหารคุณภาพโรงเรียน โดยเริ่มจากการศึกษานโยบาย จุดเน้น กลยุทธ์ของหน่วยงาน ต้นสังกัด เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) การปฏิบัติการ (Take Action) และการประเมินผล (Evaluation)
O = Organisation Developing participation การมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร
การมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร โดยการร่วมคิด ร่วมประชุมปรึกษาหารือ หรือการวางโครงการ วิธีการติดตามผล การตรวจสอบ และดูแลรักษา เพื่อให้กิจกรรมบรรลุตามวัตถุประสงค์ ร่วมตัดสินใจ เมื่อมีการประชุมปรึกษาหารือเรียบร้อย จะต้องร่วมกันตัดสินใจเลือกกิจกรรมหรือแนวทางที่เห็นว่าดีที่สุดหรือเหมาะสม
ที่สุด การร่วมปฏิบัติตามโครงการ เป็นการเข้าร่วมในการดำเนินงานตามโครงการต่าง ๆ เช่น ร่วมออกแรง ร่วมบริจาคทรัพย์ เป็นต้น การร่วมติดตามและร่วมประเมินผล เมื่อโครงการเสร็จสิ้นแล้ว ได้เข้ามาตรวจตรา ดูแล รักษาและประเมินผลประโยชน์ที่เกิดจากโครงการ (ธนาภรณ์ เมทณีสดุดี ๒๕๔๓).
หมายถึง การส่งผลโดยตรง
หมายถึง การส่งผลย้อนกลับ
ภาพที่ ๑ รูปแบบการมีส่วนร่วม ความแผงผังความคิด ของ Cohen and Uphaoff
M = Mastery การทำงานอย่างครูมืออาชีพ
ครูที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพครู สามารถปฏิบัติหน้าที่ครู ได้อย่างดี ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและมีความเจริญงอกงาม เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่นได้ ลักษณะของครูมืออาชีพ คือ นอกจากจะมีความรู้ มีคุณธรรมจรรยาบรรณวิชาชีพแล้ว ยังต้องมีองค์ประกอบ ๔I ดังนี้ คือการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและทักษะการสื่อสาร (IT & Communication skills) และการออกแบบการเรียนรู้ (Instruction Design) หรือการออกแบบวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันได้ เทคนิคสำคัญสำหรับครูมืออาชีพ คือการปรับใช้เทคโนโลยีให้เหมาะกับบริบทของโรงเรียน ทันสมัย ไม่ล้าสมัย รวมถึงไม่จำเป็นต้องล้ำสมัยมากเกินไปโดยต้องพัฒนาตนเองให้ทันนักเรียนในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการสอน ให้นักเรียนรู้เท่าทันการใช้เทคโนโลยี นอกจากนี้ ต้องสร้างแรงบันดาลใจของนักเรียน ไม่มุ่งเน้นให้นักเรียนเก่ง ในวิชาของตน แต่ต้องให้นักเรียนอยากที่จะเรียนวิชาของตน แม้ว่าจะไม่ถนัดก็ตาม โดยครู จะต้องไม่ยัดเยียด และครูต้องออกแบบอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละระดับชั้น แต่ละห้อง เนื่องจากธรรมชาติและบริบทของแต่ละห้องเรียนที่แตกต่างกัน จากนั้นนำไปสู่การเป็นนักนวัตกรรม (Innovation) คือการที่ครูสามารถเป็นผู้สร้างนวัตกรรม และสามารถนำนวัตกรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนได้
การสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration)
ข้อดีของการเป็นครูนั้น มีมากกว่าการเป็นอาชีพ คือ การอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักเรียน โดยเฉพาะการสร้างเด็กจากที่ไม่มีอะไร จนวันหนึ่งเด็กคนนั้นสามารถยืนได้ด้วยตนเอง นั่นแหละคือความสำเร็จ ดังนั้น การสร้างทัศนคติเชิงบวกที่ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญที่ครูต้องสร้างให้ตนเองก่อน จากนั้นถึงจะแบ่งปัน สิ่งเหล่านี้ให้นักเรียน การจูงใจนักเรียนให้เกิดแรงจูงใจ ทำให้นักเรียนสามารถควบคุมพฤติกรรมความรับผิดชอบของตนเองได้อย่างเหมาะสม และถ้าแรงจูงใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะผลักดันกลายเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งคงทน ยืนยาวกว่ามาก
การสร้างแรงบันดาลใจสามารถทำได้หลายวิธี อย่างแรกคือการที่ครูจะต้องเป็นแบบอย่างให้แก่นักเรียน นักเรียนทุกคนจะมีคุณครูที่ประทับใจอยู่ โดยนักเรียนจะเลือกแบบอย่างที่จะทำตามแบบของผู้นั้น ฉะนั้นครูจึงไม่ได้เพียงสั่งสอนศิษย์ หากแต่ครูก็ยังเป็นแบบอย่างในการประพฤติดี ดังที่เรียกว่า แม่พิมพ์ของชาติ นอกจากนี้ครูสามารถให้แรงบันดาลใจด้วยการให้รางวัล และรางวัลนั้นไม่จำเป็นต้องมีค่าหรือเป็นสิ่งของ หากแต่อาจเป็นเพียงคำชม บางครั้งก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจที่จะให้เด็กสามารถคงแรงบันดาลใจไว้ได้ เพราะแรงบันดาลใจต้องเป็นสิ่งที่ยั่งยืนต่อเนื่อง ต่างกับความประทับใจที่อาจสิ้นสุดได้ แรงบันดาลใจจึงสำคัญ
ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และทักษะการสื่อสาร (IT & Communication skills)
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และความสามารถในการสื่อสารของครูในด้านการใช้ภาษาอังกฤษในปัจจุบันมีความสำคัญต่อความสำเร็จ ความก้าวหน้าในการทำหน้าที่ของครูเป็นอย่างมาก เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) จะทำให้ครูสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องอาศัยทักษะความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษเป็นสำคัญเนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล
ที่ทุกคนใช้เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่และเรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ ผ่านอินเตอร์เน็ต (Internet) การที่นักเรียนจะสามารถเรียนรู้ได้หลากหลายจากสิ่งที่ครูเตรียมไว้ จึงต้องอาศัยครูเป็นสำคัญในการเลือกและจัดเตรียมเนื้อหา ประสบการณ์ให้นักเรียน ซึ่งปัจจุบันนี้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยสอนอย่างเต็มรูปแบบของครูยังไม่สามารถปฏิบัติได้เต็มที่มากนัก เพราะอุปสรรคสำคัญของครูส่วนใหญ่ อยู่ที่ความสามารถทางภาษาอังกฤษจึงทำให้ครูไม่สามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้จากโลกภายนอกสู่ห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิผล ทั้งที่ในความ เป็นจริงแล้วเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) สามารถช่วยให้ครูสามารถเชื่อมโยงความรู้จากโลกภายนอกเข้ามาสู่ห้องเรียนได้อย่างง่ายดาย การจัดการเรียนการสอนก็สามารถที่จะแสดงตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงการสร้างความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ความสามารถด้านการสื่อสารไม่เพียงแต่ภาษาอังกฤษเท่านั้น ภาษาไทยก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพครูเป็นอย่างยิ่งเพราะการเรียนการสอนของครูต้องใช้ภาษาไทยในการอธิบาย การสอน การสื่อสารกับผู้เรียน และใช้ในการพัฒนาความรู้ ความคิดต่าง ๆ จากการอ่าน การเขียน ซึ่งทักษะหรือความสามารถด้านการสื่อสารนี้มีความสำคัญต่ออาชีพครูเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าครูจะเก่งมากขนาดไหนแต่ไม่สามารถอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจได้ ก็ไม่สามารถเป็นครูมืออาชีพได้อย่างแน่นอน สรุปได้ว่าภาษาไทยช่วยทำให้ครูสอนนักเรียนให้เข้าใจความรู้ ส่วนภาษาอังกฤษช่วยเสริมให้ครูสอนนักเรียนให้เข้าถึงแหล่งความรู้
การออกแบบการเรียนรู้ (Instructional Design)
ครูที่จะมีความสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ให้น่าสนใจได้นั้นจำเป็นต้องใช้ความรู้ที่มีอยู่ มาบูรณาการเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านจิตวิทยาต่าง ๆ เช่น จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาวัยรุ่น จิตวิทยาการศึกษา รวมถึงความรู้ด้านหลักสูตรและการสอน เทคนิคการสอนแบบต่าง ๆ เทคนิคการวัดและประเมินผลการสอนเทคโนโลยีการศึกษา ตลอดจนความรู้ความเข้าใจในเรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ( IT) เพื่อให้ครูสามารถออกแบบการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เรื่องของหลักสูตรนั้นเป็นสิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่า ครูจะต้องสอนอะไรให้แก่นักเรียนบ้าง เทคนิคการสอนนั้นก็คือการเลือกวิธีการจัดการสอนที่จะให้เด็กได้เรียนรู้และรับความรู้นั้นด้วยวิธีใดบ้าง ซึ่งต้องอาศัยความรู้ในด้านจิตวิทยาพัฒนาการจิตวิทยาการศึกษา ในการออกแบบการเรียนรู้ ว่าแต่ละช่วงวัยนั้นควรพัฒนาด้านใด และใช้วิธีใดที่ทำให้นักเรียนสนใจ ด้านเทคโนโลยีการศึกษาก็เข้ามาช่วยให้ครูสามารถสอนและแนะนำให้นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ที่กว้างขวางได้ สำหรับการใช้เทคนิคการวัดและประเมินผลที่มีความหลากหลายแตกต่างกันก็เพราะครูควรจะใช้วิธีการวัดและประเมินผลที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสิ่งที่ตนเองสอน ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพของครูทั้งสิ้น
นักนวัตกรรม (Innovation)
นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง รูปแบบ หรือสื่อการสอน หรือวิธีการ ที่ครูพัฒนาขึ้นจากพื้นฐานของนวัตกรรมเดิมที่ยังไม่เคยนำมาใช้พัฒนาผู้เรียนหรืออาจจะสร้างขึ้นมาใหม่ตามแนวคิด ทฤษฎี หรือหลักวิชาการ เพื่อนำสิ่งที่สร้างขึ้นไปใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ ซึ่งนวัตกรรมทางการศึกษามีความสำคัญต่อการนำมาแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน อีกทั้งยังเป็นสื่อการสอนและวิธีการสอนใหม่ ๆ ที่ครูนำมาใช้พัฒนาผู้เรียนโดยเน้นที่ความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้นความสามารถในการเรียนรู้ของ ผู้เรียนเป็นหลัก นวัตกรรมจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนหรือเนื้อหามากขึ้น โดยสามารถพัฒนาทั้งด้าน ความรู้ ทักษะ และด้านเจตคติของผู้เรียนทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนมีผลการเรียนรู้เป็นไปตามมาตรฐานที่ หลักสูตรกำหนด จากความสำคัญดังกล่าว ครูมืออาชีพจึงต้องเป็นผู้ที่สามารถสร้างนวัตกรรมและสามารถนำนวัตกรรมไปใช้เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้อย่างยั่งยืน การที่ครูเป็นนักนวัตกรรมจะเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าครูเป็นผู้ที่มีส่วนในการพัฒนาวงการศึกษาไทยให้ก้าวไกลและยั่งยืนได้ในอนาคต และเป็นผู้ที่ศึกษาตลอดชีวิต
เมื่อแยกประเด็นพิจารณาแต่ละลักษณะ จะมีลักษณะรายละเอียดตามรูปแบบ (แนวคิด ของ เอกชัย กี่สุขพันธ์) ดังนี้
ภาพที่ ๒ การทำงานอย่างมืออาชีพ ความผังความคิด ของเอกชัย กี่สุขพันธ์
N = Network เครือข่ายในการเรียนรู้ของบุคลากร เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
โดยที่โรงเรียนสมนึกพิทยามีการส่งเสริมให้เกิด ครูมีอาชีพจากการสร้าง เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรียนรู้ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร และแหล่งความรู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นระบบที่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้เกิดการเผยแพร่และการประยุกต์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาชีพหรือทางสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิตควรเริ่มจากการมีส่วนร่วมของบุคคล เป็นการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ของวิชาชีพครูที่ทำงานร่วมกัน การกําหนดเป้าหมาย ร่วมกันเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสําคัญและการทํางานร่วมกันของครู ด้วยเหตุผลดังกล่าวชุมชนการ เรียนรู้ทางวิชาชีพจึงเป็นเครื่องมือให้ครูเป็นผู้ลงมือกระทําด้วยตนเอง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในการจัดการเรียนการสอน เรียนรู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งการและกัน ตลอดจนร่วมดำเนินการการวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งเป้าหมายหรือมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ร่วมกันดำเนินงาน ร่วมสะท้อนผลการทำงาน และร่วมพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพการศึกษาให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้วยังใช้แนวทางพี่สอนน้อง โดยการเป็นพี่เลี้ยง และโค้ชทีมงานซึ่งเป็นเทคนิคและกระบวนการในการขับเคลื่อนทีมงานไปสู่เป้าหมายของหน่วยงาน โดยมีหัวหน้า และผู้บริหารรับบทบาทและใช้เทคนิคการเป็นโค้ช และพี่เลี้ยงในการสอนงานครู เพื่อกระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ ชี้แนวทาง พัฒนาศักยภาพให้มีผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้นได้ นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ดีสำหรับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในองค์กร
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้สรุปหลักการสำคัญของเครือข่ายการเรียนรู้ไว้ ดังนี้
๑. การกระตุ้นความคิด ความใฝ่แสวงหาความรู้ จิตสำนึกในการพัฒนาและการมีส่วนร่วม ในการพัฒนา
๒.การถ่ายทอด แลกเปลี่ยน การกระจายความรู้ทั้งในส่วนของวิทยากร และภูมิปัญญา
ท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ
๓. การแลกเปลี่ยนข่าวสารกับหน่วยงานต่าง ๆ ของทั้งในภาครัฐและเอกชน
๔. การระดมและประสานการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อการพัฒนาและลดความซ้ำซ้อน
สูญเปล่าให้มากที่สุด
U = Unity Management การบริหารทั้งหน่วยงาน โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน SBM (School Base Management) เพื่อให้เกิดการพัฒนาทุกด้าน
การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School - Based Management : SBM) เป็นแนวคิด การกระจายอำนาจการจัดการศึกษา จากส่วนกลางไปยังสถานศึกษาโดยตรง ให้สถานศึกษามีอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบและความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากที่สุด ลักษณะสำคัญของโรงเรียน ที่บริหารงานแบบ (SBM) ๑. บุคลากรทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนด วิสัยทัศน์ พันธกิจ ของโรงเรียน ๒. ผู้บริหารมีการบริหารงานแบบเกื้อหนุน ๓. มีการพัฒนาทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง (Whole School Approach) ๔. ผู้นำมีการกระตุ้นบุคลากรในโรงเรียน ๕. การบริหารเชิงกลยุทธ์ เน้นการแก้ปัญหาได้ทันการ ๖. เน้นการทำงานเป็นทีม
K = Knowledgeable Resource เป็นแหล่งเรียนรู้ของสังคม
ความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ ๑.เป็นแหล่งที่รวมองค์ความรู้อันหลากหลาย พร้อมที่จะให้ผู้เรียน เข้าไปศึกษา ค้นคว้าด้วยกระบวนการการจัดการเรียนรู้ ที่แตกต่างของแต่ละบุคคล และเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ๒. เป็นแหล่งเชื่อมให้สถานศึกษา และชุมชนมีความสัมพันธ์กัน ใกล้ชิดกัน ทำให้คนในชุมชน มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาแก่บุตรหลานของตนเอง ๓. เป็นแหล่งข้อมูลที่ทำให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดความสนุกสนาน และมีความสนใจที่จะเรียน ไม่เกิดความเบื่อหน่าย ๔. ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการคิดเอง ปฏิบัติ สร้างความรู้ด้วยตนเอง ขณะเดียวกัน ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
ขั้นตอนที่ ๔ ขั้นการตรวจสอบ (Check) เป็นการประเมินผลและการตรวจสอบการบริหารโรงเรียน จากการใช้นวัตกรรม การบริหารโรงเรียนคุณภาพโดยใช้ SOMNUK MODEL โดยยึดวัตถุประสงค์ของโรงเรียน
ขั้นตอนที่ ๕ ขั้นปรับปรุงแก้ไข (Action) เป็นการสะท้อนผลการทำงานตามสภาพจริง (Reflection) โรงเรียนคุณภาพต้องมีการพัฒนานวัตกรรมการบริหารการจัดการศึกษาและคุณภาพของนักเรียนให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง
จากการใช้นวัตกรรม รูปแบบการบริหารโรงเรียนคุณภาพโดยใช้ SOMNUK MODEL มาวิเคราะห์และสะท้อนผล การดำเนินงานตามสภาพจริง (Reflection) เพื่อวิเคราะห์ว่า มีปัญหา อุปสรรคที่พบ มาเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขพัฒนาหรือ หรือไม่ ถ้าหาก ใช่ ก็จะนำปัญหา อุปสรรคที่พบมาเป็นสิ่งที่ต้องแสวงหาวิธีการแก้ไข ปรับปรุง ขั้นตอนการวางแผน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอีกครั้ง ถ้าหาก ไม่ใช่ แสดงว่า รูปแบบ การบริหารโรงเรียนคุณภาพโดยใช้ SOMNUK MODEL บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ สามารถประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ และขยายผลการดำเนินงานสู่โรงเรียนและหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อพัฒนาสู่ความมีคุณภาพที่ยั่งยืนต่อไป
๔.ผลการปฏิบัติงานประโยชน์ที่ได้รับ
๔.๑ นักเรียน ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีความกระตือรือร้น และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
๔.๒ ครูบุคลากรภายในโรงเรียนยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์ในการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ ให้ความช่วยเหลือในการปฏิบัติงาน ให้การยอมรับ ให้ความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นข้อดี ข้อที่ควรปรับปรุงเพื่อการพัฒนา
๔.๓ ผู้ปกครองให้ความร่วมมือ เช้ามามีส่วนร่วม และสนับสนุนการจัดการศึกษามากยิ่งขึ้น
๔.๔ ชุมชนมีความพึงพอใจต่อการจัดการศึกษาและให้การสนับสนุนทรัพยากร
๔.๕ โรงเรียนได้รับรางวัลระดับต่าง ๆ ทั้งด้านผู้บริหาร ครู และนักเรียน
๕. ปัจจัยที่ทำให้วิธีการประสบผลสำเร็จ
ในการขับเคลื่อนการบริหาร การดำเนินงานต่าง ๆ ที่ประสบผลสำเร็จ นั้น โรงเรียนสมนึกพิทยา
ให้ความสำคัญกับการทำงานของครู และบุคลากร ซึ่งทำงานเป็นทีม เป็นระดับชั้น และการบริหารทั้ง ๔ กลุ่ม คุณภาพของงานเป็นการระเบิดจากภายในสู่ภายนอก คุณภาพของโรงเรียนเกิดจากฝีมือของบุคลากรในโรงเรียน โดยบุคลากรภายนอกโดยเฉพาะผู้ปกครอง ชุมชน ให้การสนับสนุน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน ครู บุคลากร ทางการศึกษา ผู้บริหาร ผู้ปกครอง ชุมชนตระหนักในภารกิจอันสำคัญนี้ รวมถึง การพัฒนาตนของครู บุคลากรตลอดจนผู้บริหาร พร้อมที่จะใช้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน คุณภาพโรงเรียนและขยายผลสู่ชุมชนต่อไป
๖. บทเรียนที่ได้รับ
โรงเรียนสมนึกพิทยา จัดโครงสร้างการบริหารจัดการ 4 ด้าน ตามกฎกระทรวงศึกษาธิการ มีการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ และภารกิจในการบริหารจัดการ ไว้อย่างชัดเจน สามารถยืดหยุ่น พร้อมการเปลี่ยนแปลงและการแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพของนักเรียน ให้เป็น คนเก่ง คนดี อยู่อย่างมีความสุข ส่งเสริมให้นักเรียน มีความรู้คู่คุณธรรม กำหนดแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ความต้องการของชุมชนและท้องถิ่น
ใช้เทคนิค SWOT จากผู้ที่มีส่วน เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของโรงเรียน ใช้กระบวนการวงจรคุณภาพ PDCA และใช้ทฤษฎีสองปัจจัยของ เฮอร์เบอร์ก (HertZberg) เป็นทฤษฎีการจูงใจที่เกี่ยวข้อง และสามารถโยงไปสู่กระบวนการมีส่วนร่วมได้ เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงาน เกิดความพึงพอใจ ทฤษฎีนี้ เชื่อว่า ผู้ปฏิบัติงาน จะปฏิบัติงานได้ผลดีมีประสิทธิภาพ ย่อมขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงาน เพราะเขาจะเพิ่มความสนใจในงาน และมีความรับผิดชอบ กระตือรือร้นที่จะทำงาน ซึ่งเป็นการเพิ่มผลผลิตของงานให้มากขึ้น ในทางตรงกันข้า หากผู้ปฏิบัติงานไม่พึงพอใจในการทำงานก็จะเกิดความท้อถอยในการทำงานและทำให้ผลของงานออกมาไม่มีประสิทธิภาพ ทฤษฎีดังกล่าว สอดคล้องกับการเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของบุคลากรในองค์กรกล่าวคือ ถ้าบุคลากรได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ได้ร่วมคิด ตัดสินใจจะส่งผลให้บุคลากร ในองค์กรเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ ในกิจกรรมมากขึ้น ทำให้ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาได้ (อดินันท์ บัวภักดี ๒๕๕๒.)นอกจากนี้ ทฤษฎีการสร้างผู้นำ ก็มีความสำคัญ คือ ผู้มีอำนาจที่ดี (Positive Leader) มักจะนำการเคลื่อนไหวในการทำงานอยู่เสมอ ในขณะที่ผู้มีอำนาจที่ไม่ดี (Negative Leader) จะไม่มีผลงานที่สร้างสรรค์เลย การสร้างผู้มีอำนาจหรือผู้นำจะช่วยจูงใจให้บุคลากรเต็มใจที่จะทำงานเพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน เนื่องจากผู้นำเป็นผู้ที่มีความสำคัญ ในการจูงใจและรวมกลุ่มคน ดังนั้นทฤษฎีของปัจจัยนี้ จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของบุคลากรในองค์กร เพราะทำให้เกิดการมีส่วนร่วม ในการช่วยเหลือ ร่วมมือร่วมแรงในการทำงานอย่างมีคุณภาพ แสดงให้เห็นถึงการมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของบุคลากรและผู้นำร่วมกัน ซึ่งกระบวนการมีส่วนร่วมจะต้องมีผู้นำที่ดี อันจะนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กรได้ ซึ่งในการดำเนินงานครู บุคลากร จะปฏิบัติตามแผนงาน โครงการ กิจกรรม ตามแผนปฏิบัติการประจำปี มีการรายงานผลการดำเนินงานโครงการ กิจกรรม ทุกครั้งเมื่อเสร็จภารกิจ หรือสิ้นปีการศึกษา มีการนำผล การประเมิน ข้อเสนอแนะ ไปใช้ปรับปรุง การปฏิบัติตามแผน ไปพัฒนาแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา ระยะ ๕ ปีและแผนปฏิบัติการประจำปีอย่างต่อเนื่อง เกิดผลการพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งผู้เรียน ครู และบุคลากรทาง การศึกษา สถานศึกษา และชุมชน ทำให้มีผลงานเชิงประจักษ์
๖.๑ โรงเรียนได้รูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อการพัฒนาการจัดการศึกษา
๖.๒ ครูได้รับการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการพัฒนาผู้เรียน
๖.๓ นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและนำมาบูรณาการสู่การพัฒนาการเรียนรู้ได้เต็ม
ตามศักยภาพของตนเอง
๖.๔ โรงเรียนรูปแบบการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
๖.๕ โรงเรียนสามารถจัดการเรียนรู้โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ในชุมชนมาบูรณาการ
จัดการเรียนรู้เข้ากับกลุ่มสาระต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ