|
|
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับแนวคิดตามเทคนิค STAD 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับแนวคิดตามเทคนิค STAD หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก ตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับแนวคิดตามเทคนิค STAD หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 4) เพื่อศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับแนวคิดตามเทคนิค STAD หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนหนองบุญมากประสงค์วิทยา ที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับแนวคิดตามเทคนิค STAD หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย และพัฒนา (Research and Development) ซึ่งมีการดำเนินการ 4 ขั้นตอนสำคัญคือ 1) การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานสำหรับเป็นแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2) การออกและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3) ทดลองใช้และพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่แบบรายบุคคล จำนวน 3 คน แบบกลุ่มเล็กจำนวน 9 คน และแบบภาคสนามจำนวน 33 คน ที่เป็นการทดลองโดยใช้เครื่องมือเช่นเดียวกับกลุ่มตัวอย่าง โดยทุกครั้งที่มีการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้จะมีการปรับปรุงและพัฒนา และ 4) ขั้นตอนการยืนยันประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนหนองบุญมากประสงค์วิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 38 คน ได้จากวิธีการสุ่มยกชั้น (Cluster random sampling) โดยใช้การวิจัยแบบ One Group Pretest - Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้เรื่องโครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอกจำนวน 8 แผน แบบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการวิจัยใช้สถิติที่สำคัญได้แก่ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ร้อยละ (P) และสถิติทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t-test one sample) จากผลการศึกษากับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างพบว่า
1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับแนวคิดตามเทคนิค STAD ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ซึ่งประกอบด้วย 6 ขั้นตอนได้แก่ 1) ขั้นกำหนดปัญหา 2) ขั้นทำความเข้าใจปัญหา 3) ขั้นดำเนินการศึกษาค้นคว้า และเรียนรู้ตามแผน 4) ขั้นสังเคราะห์ความรู้ 5) ขั้นสรุป และประเมินค่าของคำตอบ และ 6) ขั้นนำเสนอ และประเมินผล) 4) การวัดและประเมินผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ และ 5) ปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนรู้
2. ประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับแนวคิดการตามเทคนิค STAD เท่ากับ 85.76/87.28 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนเฉลี่ยโดยรวมสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
4. ผลการทำแบบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนเฉลี่ยโดยรวมคิดเป็นร้อยละ 78.29 ซึ่งผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 ที่ตั้งไว้ในเบื้องต้น
5. ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับแนวคิดตามเทคนิค STAD เฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.18, S.D. = .76) ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของงานวิจัย
|
โพสต์โดย ครูโคราช : [25 พ.ย. 2567 (10:43 น.)] อ่าน [64] ไอพี : 223.24.152.237
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก
|
|
|
|
|
|
|
โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2. ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป
3. สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น
7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป
** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**
|
|
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡ เปิดอ่าน 22,298 ครั้ง
| เปิดอ่าน 193,318 ครั้ง
| เปิดอ่าน 13,268 ครั้ง
| เปิดอ่าน 12,817 ครั้ง
| เปิดอ่าน 15,823 ครั้ง
| เปิดอ่าน 1,530 ครั้ง
| เปิดอ่าน 10,402 ครั้ง
| เปิดอ่าน 7,281 ครั้ง
| เปิดอ่าน 4,593 ครั้ง
| เปิดอ่าน 13,923 ครั้ง
| เปิดอ่าน 72,068 ครั้ง
| เปิดอ่าน 8,288 ครั้ง
| เปิดอ่าน 18,138 ครั้ง
| เปิดอ่าน 14,222 ครั้ง
| เปิดอ่าน 11,377 ครั้ง
| |
|
เปิดอ่าน 12,938 ครั้ง
| เปิดอ่าน 11,715 ครั้ง
| เปิดอ่าน 15,277 ครั้ง
| เปิดอ่าน 31,711 ครั้ง
| เปิดอ่าน 20,353 ครั้ง
|
|
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด
|