ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

บทคัดย่อ

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ ในการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน 2)เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3) ประเมินทักษะการแก้ปัญหาของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 4) หาความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินทักษะการแก้ปัญหา แบบสารวจความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จานวน 26 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียน เป็นหน่วยสุ่ม

ผลการวิจัย พบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ 82.30/80.19 สูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนด 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้นสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ทักษะการแก้ปัญหาของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับดีขึ้นไปคิดเป็นร้อยละ 85.77 และ 4) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบแบบปัญหาเป็นฐานที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมาก

คาสาคัญ : บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน, การจัดการเรียนรู้แบบแบบปัญหาเป็นฐาน, ทักษะการแก้ปัญหา

บทนา

การเรียนการสอนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ พุทธศักราช 2562 รายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยเน้นให้ผู้เรียนรู้จักการใช้เทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน และมีความรู้พื้นฐานในการเขียนโปรแกรม จากการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) พบว่ารายวิชาดังกล่าวเป็นรายวิชาใหม่ซึ่งได้เพิ่มเติมในหลักสูตรสถานศึกษา พ.ศ. 2562 มีทั้งหมด 4 หน่วยการเรียนรู้ และในหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การเขียนโปรแกรมเบื้องต้น เรียนรู้เนื้อหาจากแบบเรียน สังเกตการสาธิตจากครูผู้สอน แล้วทาใบงาน ภาระงานที่ครูมอบให้ ทาให้มีนักเรียนที่ไม่เข้าใจในเนื้อหาและภาระงานที่ครูมอบหมาย ทาภาระงานได้ไม่ทัน หลังจากที่ผู้สอนได้สังเกตเห็นถึงผู้เรียน และมีการทดสอบหลังเรียน เรื่อง การเขียนโปรแกรมเบื้องต้น ซึ่งคะแนนเฉลี่ยในห้องอยู่ในระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์เป็นจานวนมาก ซึ่งผู้เรียนยังไม่สามารถเขียนโปรแกรมและทักษะการคิดแบบเรียงลาดับขั้นตอนกระบวนการที่ซับซ้อนได้ ส่งผลให้ผู้เรียนจานวนมากเรียนไม่ทัน ผู้สอนจึงได้ใช้เวลาในการทบทวนเป็นรายบุคคล จึงทาให้การสอนเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่องและไม่ทั่วถึง เพราะมีเวลาจากัด จากการประเมินผลพบว่า ผู้เรียนจานวนมากยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา ต่างจากผู้เรียนบางคนที่สามารถส่งงานที่ได้รับมอบหมายตรงตามเวลาที่กาหนด ซึ่งส่งผลต่อ คะแนนจากผลสัมฤทธิ์ที่ได้อยู่ในระดับต่า ร้อยละ 40 ซึ่งผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีทั้งหมด 4 ห้อง จานวน 121 คน ปรากฏว่า มีผู้เรียน 115 คน ที่มีผลการเรียนอยู่ในระดับต่า คะแนนอยู่ที่ 3-5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 15 คะแนน จากการที่ผู้วิจัยได้ทาการศึกษาเอกสารงานวิจัย เรื่อง Computational Thinking กับการศึกษาไทย พบว่า ทักษะการแก้ปัญหา (Problem-solving Skills) เป็นกระบวนการคิดที่ต้องใช้ทักษะและเทคนิคเพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาโดยคอมพิวเตอร์ และเพื่อพัฒนาตรรกะและทักษะในการแก้ปัญหาของผู้เรียน ดังนั้น จึงต้องมีการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะและกระบวนการคิด ที่สามารถนาไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจาวันได้ (Apatcha Changkwanyeun and Supasit Tengkew, 2561) อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วในรายวิชา เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) จึงควรเสริมสร้างพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาบนพื้นฐานของหลักการและเหตุผล (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2560)

การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Base Learning: PBL) เป็นการเรียนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียน เป็นการเรียนที่ผลเกิดจากการทางานที่ผู้เรียนมีความเข้าใจในกระบวนการแก้ปัญหาเป็นอย่างดี เป็นการใช้ปัญหากระตุ้นเพื่อให้ผู้เรียนใฝ่หาความรู้เพื่อแก้ปัญหา ที่ผู้เรียนตัดสินใจในสิ่งที่ต้องการแสวงหาและรู้จักทางานร่วมกันเป็นทีม และมีการเรียนเป็นรายบุคคลโดยผู้สอนมีส่วนร่วมน้อยลง (จตุรงค์, 2549) การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากปัญหา ที่เกิดขึ้น โดยสร้างความรู้จากกระบวนการทางานกลุ่ม เพื่อแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ที่เกี่ยวกับ ชีวิตประจาวันและมีความสาคัญต่อนักเรียน พัฒนานักเรียนให้สามารถเรียนรู้โดยการชี้นาตนเอง ซึ่งนักเรียนจะได้ฝึกฝนการสร้างองค์ ความรู้โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยการแก้ปัญหาอย่างมีความหมายต่อนักเรียน (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2550) ซึ่งบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนระบบเครือข่ายร่วมกับวิธีการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปี ที่ 4 เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนโดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบที่นักเรียนสามารถพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเองได้ (พลกฤษณ, 2559)

จากสภาพปัญหาและความเป็นมาที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอน โดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ผู้วิจัยจึงเห็นความสาคัญการนาการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based-Learning: PBL) เอามาใช้ในรายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ให้ผู้เรียนจะได้ไม่เบื่อหน่าย ในการนี้ผู้สอนต้องลดบทบาทในการสอนและการให้ความรู้ แก่ผู้เรียนโดยตรง แต่เพิ่มกระบวนการและกิจกรรมหลากหลายที่จะท้าทายให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยการพูด การเขียน การอภิปรายกับเพื่อน (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2550)

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

1. เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะในการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน

2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ ในการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน

3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 4 ห้องเรียน มีทั้งหมด 92 คน

2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 1 ห้องเรียน ทั้งหมด 26 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)

แบบแผนการวิจัย

การวิจัยครั้งนี้เป็นการดาเนินการทดลองตามแบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest – Posttest Design

เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล

1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน จานวน 5 บทเรียน ดังนี้ 1) บทเรียนที่ 1 เริ่มต้นกับ โปรแกรม Scratch 2) บทเรียนที่ 2 การออกแบบตัวละคร ใน Scratch 3) บทเรียนที่ 3 การวางบล็อกโค้ด โปรแกรม Scratch 4) บทเรียนที่ 4 ตัวแปรเก็บข้อมูล โปรแกรม Scratch 5) บทเรียนที่ 5 ออกแบบโปรแกรม สร้างเกมแมวบิน ผ่านโปรแกรม Scratch ผู้วิจัยได้ออกแบบเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ ตามขั้นตอนการประยุกต์ใช้การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ในการจัดการเรียนการสอน 6 ขั้นตอน (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2555) ดังนี้ 1) การกาหนดปัญหา 2) การทาความเข้าใจกับปัญหา 3) การดาเนินการศึกษาค้นคว้า 4) การสังเคราะห์ความรู้ 5) การสรุปและประเมินค่าคาตอบ 6) การนาเสนอและประเมินผล

โดยผู้วิจัยได้พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามขั้นตอน ADDIE Model ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ วิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา และวิเคราะห์วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อกาหนดเนื้อหา 2) การออกแบบ โดยเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ ออกแบบหน้าจอของบทเรียน ออกแบบสตอรี่บอร์ดของวีดีโอ และออกแบบแบบประเมินคุณภาพของบทเรียน 3) การพัฒนา ผู้วิจัยได้พัฒนาเนื้อหาในรูปแบบของวีดีโอโมชันกราฟิกแบบปฏิสัมพันธ์ และสร้างบทเรียนบนเว็บไซต์ออนไลน์ 4) การทดลองใช้ โดยผู้วิจัยทดลองใช้ด้วยตนเอง เมื่อพบจุดบกพร่องทาการบันทึกและนาไปปรับปรุงแก้ไข และอาจารย์ที่ปรึกษาทดลองใช้ รับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อนาไปพัฒนา ปรับปรุง จากนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและด้านเทคนิคทดลองใช้ เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบการใช้งานให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพของสื่อการสอนด้วยด้วยประเมินคุณภาพบทเรียนทั้งด้านเนื้อหาและด้านเทคนิค และ 5) การประเมินผล โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและด้านเทคนิคทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น และประเมินคุณภาพของบทเรียน ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา มีค่าเฉลี่ย (𝑥) เท่ากับ 4.60 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.55 ซึ่งถือว่าเนื้อหาบทเรียนมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคและวิธีการมีค่าเฉลี่ย (𝑥) เท่ากับ 4.53 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.58 ซึ่งถือว่าเนื้อหาบทเรียนมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด

2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน ประกอบด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมภาคทฤษฎี และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมภาคปฏิบัติ

โดยผู้วิจัยดาเนินการสร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบตามลาดับขั้นตอน ดังนี้ 1) สร้างแบบทดสอบแบบชนิดปรนัย แบบเลือกตอบ (Multiple Choice) 4 ตัวเลือก โดยสร้างแบบทดสอบตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมภาคทฤษฎีที่กาหนดไว้วัตถุประสงค์ละอย่างน้อย 1 ข้อ จานวน 3 วัตถุประสงค์ รวมข้อสอบทั้งหมด 20 ข้อ และ ใบภารกิจตามตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมภาคปฏิบัติ จานวน 1 ภารกิจ จากนั้นผู้วิจัยได้สร้างแบบประเมินภารกิจของผู้เรียน แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 4 ระดับ ได้แก่ ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง เพื่อใช้ประเมินผลการทดสอบการปฏิบัติงานของผู้เรียน 2) อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบและให้คาแนะนา เพื่อผู้วิจัยปรับ แก้ไข 3) ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาประเมินแบบทดสอบด้านเนื้อหา 3 ท่าน โดยตรวจสอบความเที่ยงตรงด้านเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Index of Item Objective Congruence : IOC) 4) นาแบบทดสอบไปทดลอง (Try Out) กับผู้เรียนที่เคยเรียนแล้ว คือผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จานวน 26 คน จากนั้นนาข้อมูลมาวิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบ คือ ค่าความยาก-ง่าย ค่าอานาจจาแนกของแบบทดสอบ เป็นรายข้อแล้วคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าระดับความยากง่ายที่อยู่ในเกณฑ์ที่กาหนด คือ .20-.80 แล้วนาแบบทดสอบที่คัดเลือกไว้คานวณหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยคานวณหาค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นตามสูตร KR-20 ของ Kuder- Richardson แบบทดสอบนี้มีค่าความเชื่อมั่นที่ 0.84 (รายละเอียดอยู่ในภาคผนวก ข) ถือว่าคุณภาพของแบบทดสอบอยู่ในเกณฑ์ดี 5) นาแบบทดสอบที่ผ่านการวิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบแล้วทั้งหมด 20 ข้อ ตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม สาหรับนาไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยแบ่งเป็นแบบทดสอบก่อนเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน

3. แบบสอบถามความพึงพอใจ ออกแบบแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อ 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา

Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน แบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับของ Likert ได้แก่ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด

โดยผู้วิจัยดาเนินการสร้างและหาคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจตามลาดับขั้นตอนดังนี้ 1) สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ 2) นาแบบสอบถามความพึงพอใจเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา 3) ปรับปรุงแบบสอบถามความพึงพอใจตามคาแนะนาของอาจารย์ที่ปรึกษา 4) นาแบบสอบถามความพึงพอใจเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน เพื่อตรวจพิจารณาความเหมาะสมของคาถามและรูปแบบของภาษา 5) นาข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุง แก้ไข และ 6) นาแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง

การเก็บรวบรวมข้อมูล (อธิบายขั้นตอนการดาเนินการวิจัย)

บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัย ดังนี้

1. ผู้สอนแนะนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ให้ผู้เรียนศึกษาคู่มือการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและศึกษาวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนปฏิบัติได้ถูกต้อง

2. ผู้เรียนทุกคนหลังจากศึกษาคู่มือและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ขั้นตอนต่อไปคือการทาแบบทดสอบก่อนเรียน ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

3. ผู้เรียนเข้าศึกษาเนื้อหาแต่ละบทซึ่งในบทเรียน มีวิดิโอสื่อการสอนให้ผู้เรียนศึกษา และใบงานโดยการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน

3.1 ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาบนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

3.2 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมแบ่งกลุ่ม ให้ตัวแทนเลือกหัวข้อแบบสุ่ม

3.3 ผู้เรียนทาความเข้าใจกับหัวข้อที่ได้แบบสุ่ม พร้อมวิธีการนาเสนอหัวที่เลือก

3.4 ผู้เรียนระดมความคิด วิเคราะห์ ดาเนินการศึกษาค้นคว้าและทดลองเขียนโปรแกรมในคอมพิวเตอร์

3.5 ผู้เรียนทดลองเขียนโปรแกรม Scratch เกมแมวบิน

3.6 หลังจากที่เขียนโปรแกรม Scratch เกมแมวบิน ให้ผู้เรียนตรวจสอบความผิดพลาดของโปรแกรม

3.7 นาเสนอ และสรุปองค์ความรู้

4. ผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) บนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

5. ผู้เรียนทาแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ดังนี้

1. สถิติที่ใช้สาหรับหาคุณภาพเครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย การคานวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Consistency : IOC) การหาค่าระดับความยากง่าย (Difficulty) การหาค่าอานาจจาแนก (Discrimination) และการหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ตามสูตร KR-20 ของ Kuder-Richardson

2. สถิติที่ใช้สาหรับทดสอบสมมติฐาน ประกอบด้วย การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการเปรียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test dependent

3. สถิติพื้นฐาน ประกอบด้วย การหาคะแนนเฉลี่ย (Mean) และการหาความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนของแบบทดสอบ (Standard Deviation; SD)

ผลการวิจัย

1. ผลหาประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า การทาแบบทดสอบระหว่างเรียนของผู้เรียนในหน่วยที่ 1 เริ่มต้นกับ โปรแกรม Scratch ได้คะแนนร้อยละ 86.34 และหน่วยที่ 2 การออกแบบตัวละคร ใน Scratch ได้คะแนนร้อยละ 85.09 โดยประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีประสิทธิภาพ 82.30 /80.19 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนด 80/80 นั่นคือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นสามารถนาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ในการวิเคราะห์ข้อมูลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน นามาเปรียบเทียบกันเพื่อทดสอบค่า t-test (dependent) พบว่าคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 9.92 และคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 16.76 และผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥 = 4.4-, S.D. = 0.48) โดยประเด็นที่ผู้เรียน มีความพึงพอใจมากที่สุด คือ วีธีการจัดวางปุ่มของเมนูต่าง ๆ มีความเหมาะสมและใช้งานได้ง่าย (𝑥 = 4.62, S.D. = 0.50) และประเด็นที่ผู้เรียนมีความพึงพอใจน้อยที่สุด คือ สามารถ นาความรู้จากการศึกษาบทเรียนไปใช้ในการแก้ปัญหาอื่น ๆ ได้ (𝑥 = 4.12, S.D. = 0.33)

สรุปผลการวิจัย

การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล โดยนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้นไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยสามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้

1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ 82.30/80.19

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยเพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05

3. ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยเพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน พบว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.43 ในระดับดีมาก

อภิปรายผล

1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ที่พัฒนาขึ้น มีค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 ที่ระดับ 82.30 /80.19 ซึ่งเป็นผลมาจากการนาเสนอเนื้อหาบทเรียนด้วยภาพวีดีโอที่นาเสนอเนื้อหาอย่างกระชับ และชัดเจนซึ่งสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดความสนใจในบทเรียน และสามารถทาความเข้าใจในเนื้อหาบทเรียนได้เป็นอย่างดี ซึ่งเห็นได้จากประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนการสอน (E1) ซึ่งสูงกว่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ประกอบกับการนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน มาใช้ในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่คงทน ทาให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีและส่งผลให้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนด

2. ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน พัฒนาขึ้น มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนหนึ่งเป็นมาจาก การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ซึ่งผู้เรียนได้มีโอกาสลงมือค้นคว้าหาความรู้และนามาสู่การสร้างความรู้ด้วยตนเอง จากสถานการณ์ปัญหาที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสงสัยใคร่รู้

3. ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ซึ่งผู้เรียนมีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ทั้งนี้เป็นผลมาจากการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนที่มีการนาเสนอเนื้อหาในรูปแบบที่หลากหลายและน่าสนใจ ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ข้อความ เสียงบรรยาย และเสียงประกอบ การวิเคราะห์เนื้อหาที่เหมาะสมนามาสู่การจัดหมวดหมู่และปริมาณเนื้อหาที่สอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน การใช้ภาษาที่สั้นกระชับ และทาความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน

ข้อเสนอแนะ

1) ข้อเสนอแนะการนาผลการวิจัยไปใช้

หลังจากที่ผู้วิจัยได้ศึกษาผลพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามสมรรถนะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง การเขียนโปรแกรมอย่างง่ายด้วยภาษา Scratch ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ร่วมกับการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน มีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้

1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนร่วมกับการจัด การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน สามารถนาไปใช้กับเนื้อหาหรือรายวิชาอื่น ๆ ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติและค้นคว้าหาความรู้เพื่อสร้างความรู้ด้วยตนเอง

2. ผู้สอนมีช่องทางให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนได้สะดวกยิ่งขึ้น

3. ผู้สอนควรมีการจัดเก็บข้อมูลการทากิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ เป็นรายบุคคล หรือกระตุ้นให้ผู้เรียนทุกคนให้สามารถทากิจกรรมได้เต็มตามความสามารถ

4. ผู้สอนควรมีการประเมินทักษะการคิดเชิงคานวณของผู้เรียนเป็นรายบุคคล

2) ข้อเสนอแนะการวิจัยครั้งต่อไป

1. ควรมีการนาการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน ไปใช้กับสื่อการเรียนรู้อื่น ที่หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น หนังสือเทคโนโลยีเสมือนจริง (Augmented Reality Book) หรือการเรียนรู้บนมือถือ (Mobile Learning) เป็นต้น

2. ควรมีการประเมินทักษะทักษะการแก้ปัญหาของผู้เรียนก่อนเรียน เพื่อออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนมากยิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2548). การเรียนรู้เน้นปัญหาเป็นฐาน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

ณัฐภัทร แก้วรัตนภัทร์ (2561). หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์บริษัทอักษรเจริญทัศน์ อจท. จากัด.

ถนอมพร เลาจรัสแสง. (2544). การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) นวัตกรรมเพื่อคุณภาพการเรียนการสอน. วารสารศึกษาศาสตร์สาร(1), 87-94.ใจทิพย์ ณ สงขลา. (2561).

วรุฒ ปานเหลืองและอุบลรัตน์ ศิริสุขโภคา. (2560). การฝึกทักษะเรื่องการเขียนผังงาน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน. พัฒนางานวิจัย สร้างสรรค์อุดทศึกษาไทย ก้าวไกลสู่ไทยแลนด์ 4.0 (รายงานการวิจัย).นครปฐม : มหาวิทยาลัยนครปฐม.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2561). คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ สาระเทคโนโลยี(วิทยาการคานวณ) ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สานักงานเลขาธิการการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579. กรุงเทพมหานคร. บริษัทพริกหวานกราฟฟิค จากัด.

สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2550). การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน. กรุงเทพมหานคร: สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.

Agah Tugrul Korucu, Abdullah Tarik Gencturk and Mustafa Mucahit Gundogdu. (2017). [serial online]. "Examination of the Computational thinking Skills of students." Journal of Learning and teaching in Digital Age. Vol.2 No.1 :11-19

Barrow Howard and Tamblyn. (1980). Problem-base Learning: An Approach to Medical Education. NY: Springer.

Lu, J. J., & Fletcher, G. H. J. A. S. B. (2009). Thinking about computational thinking. 41(1),260-264.

โพสต์โดย นฤนาท ลำใย : [8 ต.ค. 2567 (20:38 น.)]
อ่าน [776] ไอพี : 124.120.203.113
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 27,908 ครั้ง
เรื่องของเลขศูนย์
เรื่องของเลขศูนย์

เปิดอ่าน 10,282 ครั้ง
คอลัมน์ เปลี่ยนผ่าน: ได้เวลา "ปฏิรูป" ลูกเสือไทยเร่งสางปัญหา "ทุจริต" รีบปรับหลักสูตรให้ตรงใจ "ผู้เรียน-ผู้สอน"
คอลัมน์ เปลี่ยนผ่าน: ได้เวลา "ปฏิรูป" ลูกเสือไทยเร่งสางปัญหา "ทุจริต" รีบปรับหลักสูตรให้ตรงใจ "ผู้เรียน-ผู้สอน"

เปิดอ่าน 66,395 ครั้ง
ระบบการสอนของดิคและคาเรย์ (Dick and Carey)
ระบบการสอนของดิคและคาเรย์ (Dick and Carey)

เปิดอ่าน 9,179 ครั้ง
ประกันรถยนต์ช่วยคุณประหยัดเงินได้ยังไง
ประกันรถยนต์ช่วยคุณประหยัดเงินได้ยังไง

เปิดอ่าน 8,832 ครั้ง
สตรีผู้ทรงอิทธิพลปี 2009
สตรีผู้ทรงอิทธิพลปี 2009

เปิดอ่าน 16,645 ครั้ง
ร.ร.ประชารัฐ-ร.ร.ไอซียู : สมหมาย ปาริจฉัตต์
ร.ร.ประชารัฐ-ร.ร.ไอซียู : สมหมาย ปาริจฉัตต์

เปิดอ่าน 14,744 ครั้ง
ประวัติ วะโฮรัมย์ เหรียญทองวีลแชร์พาราลิมปิก2008
ประวัติ วะโฮรัมย์ เหรียญทองวีลแชร์พาราลิมปิก2008

เปิดอ่าน 10,802 ครั้ง
มาดูแลรักษาระบบเบรกกันเถอะ
มาดูแลรักษาระบบเบรกกันเถอะ

เปิดอ่าน 26,781 ครั้ง
นานาสาระ เกี่ยวกับความเชื่อ แก้เคล็ด ถือเคล็ด
นานาสาระ เกี่ยวกับความเชื่อ แก้เคล็ด ถือเคล็ด

เปิดอ่าน 129,729 ครั้ง
การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction)
การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction)

เปิดอ่าน 13,440 ครั้ง
ปฏิรูปการศึกษาไม่มีวันสำเร็จ ถ้าไม่รื้อรากความงมงาย
ปฏิรูปการศึกษาไม่มีวันสำเร็จ ถ้าไม่รื้อรากความงมงาย

เปิดอ่าน 76,621 ครั้ง
"ดอกปาริชาติ" กับความเชื่อเรื่องระลึกชาติได้
"ดอกปาริชาติ" กับความเชื่อเรื่องระลึกชาติได้

เปิดอ่าน 11,387 ครั้ง
เคล็ดลับการถ่ายภาพ ทะเล ให้สวยถูกใจ
เคล็ดลับการถ่ายภาพ ทะเล ให้สวยถูกใจ

เปิดอ่าน 210,402 ครั้ง
คำเรียกตัวเลขทั้งสิบในภาษาไทย
คำเรียกตัวเลขทั้งสิบในภาษาไทย

เปิดอ่าน 677 ครั้ง
บัตรกดเงินสด ตัวช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของมนุษย์เงินเดือน
บัตรกดเงินสด ตัวช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของมนุษย์เงินเดือน

เปิดอ่าน 6,742 ครั้ง
การประเมินจากภายนอกสถานศึกษาจำเป็นหรือไม่?
การประเมินจากภายนอกสถานศึกษาจำเป็นหรือไม่?
เปิดอ่าน 85,492 ครั้ง
ประชาธิปไตย คืออะไร
ประชาธิปไตย คืออะไร
เปิดอ่าน 19,691 ครั้ง
MPEG คืออะไร
MPEG คืออะไร
เปิดอ่าน 31,847 ครั้ง
หลักเกณฑ์สอบบรรจุครูผู้ช่วย
หลักเกณฑ์สอบบรรจุครูผู้ช่วย
เปิดอ่าน 9,894 ครั้ง
จดหมายฉบับที่ 56 ถึงนายกรัฐมนตรี+รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรา 44 ...ครูและนักเรียนได้อะไร ?
จดหมายฉบับที่ 56 ถึงนายกรัฐมนตรี+รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรา 44 ...ครูและนักเรียนได้อะไร ?

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
โครงการบ้านเชียงใหม่
บ้านเชียงใหม่
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ