ชื่อวิจัย: การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบการใช้สื่อประสม เรื่อง เศษส่วน
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว
ผู้วิจัย: นิติรัตน์ แสงเผือก ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
สถานที่ทำงาน: โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
ปีที่พัฒนา: 2566
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์การวิจัย 1)เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบ การใช้สื่อประสม เรื่อง เศษส่วน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้สื่อประสม และ 3)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบการใช้สื่อประสม เรื่อง เศษส่วน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 31 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1)สื่อประสม เรื่อง เศษส่วน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว จำนวน 9 เล่ม 2) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบการใช้สื่อประสม เรื่อง เศษส่วน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว จำนวน 18 แผนๆ ละ 1 ชั่วโมง รวมทั้ง 18 ชั่วโมง ซึ่งปรากฎรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบร่วมมือบูรณาการสื่อประสม (Cooperative Active Learning integrated with Multimedia: CALM) มีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ คือ 1) แนวคิดและหลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ และ 4) การวัดและประเมินผล โดยมีรายละเอียดดังนี้
องค์ประกอบ 1 แนวคิดและหลักการ
รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบร่วมมือบูรณาการสื่อประสม (CALM) เกิดจากการบูรณาการแนวคิดสำคัญสองแนวคิด คือ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เข้ากับการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) นอกจากนั้นยังมีการประยุกต์ใช้สื่อประสม (Multimedia) ที่เหมาะสมกับเนื้อหาและระดับความสามารถของนักเรียน
องค์ประกอบ 2 วัตถุประสงค์
รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบร่วมมือบูรณาการสื่อประสม (CALM) มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และเจตคติต่อการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว
องค์ประกอบ 3 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบร่วมมือบูรณาการสื่อประสม (CALM) มีขั้นตอนการจัด การเรียนรู้จำนวน 4 ขั้นตอนที่เรียกแบบย่อว่า ECSA (อ่านว่า เอ็คซ่า) โดยมีรายละเอียดดังนี้
ขั้นที่ 1 การสร้างการมีส่วนร่วมผ่านการเล่นเกม (Engagement through Play Games)
ครูทดสอบความรู้เดิม (prior knowledge) ของนักเรียนเพื่อให้มั่นใจว่า นักเรียนมีความรู้เดิมที่เพียงพอต่อการเรียนเนื้อหาใหม่ จากนั้นครูเตรียมความพร้อมของนักเรียนก่อนนำเข้าสู่บทเรียนโดยสอดแทรกการเล่นเพื่อการเรียนรู้ (play and learn) ผ่านกิจกรรมเกม (games) เพื่อให้นักเรียนเกิดการตื่นตัว ตื่นเต้น และรู้สึกสนุกสนานกับการเรียนรู้ โดยใช้สื่อประสม คือ เกมประกอบการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว โดยให้นักเรียนร่วมกันเล่นเกมทายใจ เกมนับเลข เกมจับคู่ดูตัว เกมวงล้อมหาสนุก เกมปฏิทินรวมร่าง เกมเปิดป้ายจับคู่ เกมตักลูกอม เกมรวมเงิน เกมตระกร้าเสี่ยงโชค เกมตกปลา เกมถอดรหัส เกมบิงโก้ เกมบันไดงู เกมเศรษฐี และเกมโดมิโน่ เกมสื่อประสมที่สร้างขึ้นอาจเกิดจากความสงสัยหรือความสนใจของตัวนักเรียนเอง
ขั้นที่ 2 การเรียนรู้เชิงรุกแบบร่วมมือด้วยสื่อประสม (Cooperative Active Learning With Multimedia)
ครูให้นักเรียนได้เรียนรู้เชิงรุกแบบร่วมมือ Cooperative Active Learning ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือที่เรียกว่า TGT (Teams-Games -Tournaments) โดยมีการบูรณาการสื่อประสม (Multimedia) เข้าไปในการจัดการเรียนรู้ด้วย กล่าวคือ มีการใช้ชุดหนังสือการ์ตูนเสริมประสบการณ์ (Experience Cartoon Book Set) และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เพื่อช่วยให้ของนักเรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเองตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (constructivism) ด้วยการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เดิมของตนเองกับประสบการณ์ใหม่ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงด้วยกระบวนการทำงานเป็นกลุ่มแบบร่วมมือ ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 ฝึกการแก้ปัญหาโดยวิธีของโพลยา (Polya)
กิจกรรมที่ 2 จัดกลุ่มแบบคละกัน (Home Team) กลุ่มละ 3-4 คน ประกอบนักเรียน ที่มีความรู้ เก่ง ปานกลาง และอ่อนคละกันร่วมกันเรียนรู้ด้วยชุดหนังสือการ์ตูนเสริมประสบการณ์
กิจกรรมที่ 3 นักเรียนแข่งขันตอบปัญหาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่เรียนมาจากชุดหนังสือการ์ตูนเสริมประสบการณ์
กิจกรรมที่ 4 นักเรียนจับคู่ศึกษาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เพื่อขยายความรู้จากการเรียนรู้
ขั้นที่ 3 การสรุปการเรียนรู้ (Summary of Learning)
นักเรียนสรุปผลการเรียนรู้ที่เป็นแนวคิดรวบยอด (key conception) ผ่านการนำเสนอ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม เช่น การบรรยายสรุปหน้าชั้น การยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย การตอบคำถามที่สงสัย และการเขียนแผนผังแนวคิด (mind mapping) ครูตรวจสอบการสรุปของนักเรียนด้วยวิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสมและหลากหลาย เช่น ตรวจสอบความถูกต้องของแนวคิดรวบยอดเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า นักเรียนทุกคนได้เกิดแนวคิดรวบยอดที่ถูกต้อง นอกจากนั้นครูอาจสรูปการเรียนรู้ด้วยวีดีทัศน์ประกอบการเรียนอีกครั้ง
ขั้นที่ 4 การประยุกต์ใช้ (Application of Learning)
นักเรียนฝึกนำความรู้สรุปไปใช้คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันประจำวัน (mathematics in everyday life) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 สมรรถนะหลักเกี่ยวกับคนไทยฉลาดรู้ (Literate Thais) นักเรียนขยายแนวคิดผ่านการประยุกต์ใช้ความรู้ที่สร้างขึ้นในสถานการณ์ใหม่ผ่านการทำแบบฝึกทักษะ จากนั้นครูประเมินการเรียนรู้ของนักเรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้โดยใช้วิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสม เช่น การทำแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) การตรวจชิ้นงานด้วยเกณณฑ์การให้คะแนน (scoring rubric) จากนั้นจัดทำรายงานผลการพัฒนาเป็นรายบุคคล
องค์ประกอบที่ 4 การวัดและประเมินผล
การวัดและประเมินผลในการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบร่วมมือบูรณาการสื่อประสมเน้นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ที่เน้นการประเมินการแสดงออกถึงกระบวนการทำงานผ่านการปฏิบัติเพื่อค้นหาศักยภาพหรือคุณลักษณะที่แท้จริงของผู้เรียน โดยประเมินจากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ การตรวจใบงาน/ ใบกิจกรรม/ ผลงาน/ ชิ้นงาน การสนทนาระหว่างเรียน เป็นต้น นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับการประเมินระหว่างทาง (Formative Assessment) ที่เน้นการประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning) ด้วยการการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การถาม-ตอบหรือการแสดงออกในห้องเรียน เป็นต้น ดังภาพประกอบที่ 2 ดังนี้
ภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแบบร่วมมือบูรณาการสื่อประสม (Cooperative Active Learning
integrated with Multimedia: CALM)
3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัยคู่ขนาน 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 4) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ปรนัยคู่ขนาน 4 ตัวเลือก จำนวน 30 และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมุติฐานด้วยค่าที
ปรากฏผลการพัฒนา ดังนี้
1. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบการใช้สื่อประสม เรื่อง เศษส่วน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.62/83.47 ซึ่งเป็นตามเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบการใช้สื่อประสม ปรากฏผลพัฒนาดังนี้
1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบการใช้สื่อประสม อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
2) ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบการใช้สื่อประสม อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่ต่อการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบการใช้สื่อประสม เรื่อง เศษส่วน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x ̅= 4.36, S.D=0.37)
สรุปได้ว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ประกอบการใช้สื่อประสม เรื่อง เศษส่วน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะพร้าว ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ที่กำหนด ส่งให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 5 และความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อประสมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นนั้นเป็นที่น่าพอใจ