Best Practice
การส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปี ๒๕๖๖
โรงเรียนบรบือ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม
...............................................
๑. ข้อมูลทั่วไป
ชื่อผลงาน : อ่านให้ออก เขียนให้ได้ ต้องใสใจรักการอ่าน
เจ้าของผลงาน : นางสาวศิริลักษณ์ โคตะโน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
โรงเรียนบรบือ อำเภอบรบือ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม
๒. สภาพทั่วไป / ความเป็นมา
การอ่านเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้และการพัฒนาสติปัญญา ช่วยให้เกิดความรู้ความสามารถ พัฒนาพฤติกรรม รวมทั้งช่วยในการพัฒนาการดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น การอ่านจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์ นโยบายสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการปี ๒๕๕๘ กำหนดให้นักเรียนทุกระดับชั้นอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่อง เขียนคล่อง ซึ่งการอ่านออกเขียนได้ถือเป็นหัวใจสำคัญต่อการพัฒนาตัวเอง และการเรียนรู้ในระดับสูงขึ้น โดยสพฐ. มีเป้าหมายจะยกระดับคะแนนการทดสอบระดับชาติ (National Test : NT) การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) และโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3% โดยจะเริ่มทันทีซึ่งแม้หากไม่ได้ตามเป้า แต่ก็หวังให้เกิดแรงกระเพื่อมให้เกิดการตื่นตัว
ภาวะความรู้ถดถอย (Learning Loss) คือ การสูญเสียความรู้หรือทักษะใด ๆ หรือการชะลอตัวขัดขวางความก้าวหน้าทางวิชาการ ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย ตั้งแต่ที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
โควิด ๑๙ และได้สร้างผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อตัวเด็กนักเรียนโดยตรง และต่อประเทศในหลากหลายมิติ โดยที่ Starfish Education มุ่งให้ความสำคัญและแก้ไขผลกระทบต่อตัวเด็กใน ๓ มิติ ดังนี้ ด้านวิชาการ ด้านพัฒนาการ และด้านอารมณ์และสังคม และได้ให้ข้อเสนอ ๕ มาตรการฟื้นฟูความรู้ถดถอย (Education Recovery) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาทั่วโลก ถึงแม้จะมีการจัดการเรียนรู้ที่เรียกว่า Remote Learning หรือการจัดการศึกษาทางไกลที่หลากหลายรูปแบบ ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์การเรียนรู้ของนักเรียนรายบุคคลได้ ยกตัวอย่างเช่น ผลการสำรวจของนักเรียนโรงเรียนบ้านปลาดาว มีเพียงแค่ ๒๐% เท่านั้น ที่พร้อมสำหรับการเรียนออนไลน์ ส่วน ๘๐% พบว่า ไม่สามารถเข้าถึงการเรียนออนไลน์ได้ โดยมีเหตุผลเช่น ไม่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือแท็ปเล็ต ไ่ม่สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับเรียนออนไลน์ได้ และบางส่วนพ่อแม่ไม่รู้หนังสือ นอกเหนือจากตัวอย่างผลสำรวจความพร้อมของโรงเรียนบ้านปลาดาวแล้ว ยังมีงานวิจัยมากมายพบว่าสิ่งที่เด็ก ๆ กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ ทำให้เด็ก ๆ ในประเทศไทยเกิดภาวะความรู้ถดถอย (Learning Loss) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดกลยุทธ์พัฒนาคุณภาพและ มาตรฐานการศึกษาเพื่อเร่งรัด ส่งเสริม และพัฒนาให้หน่วยงานในสังกัดนำนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยมีกลยุทธ์และจุดเน้นที่สำคัญหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งพัฒนาการอ่านการเขียน และการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ส่งเสริมให้นักเรียน อ่านออกเขียน อ่านคล่อง เขียนคล่อง ใช้ภาษาไทยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการเรียนรู้สาระการเรียนรู้อื่น เพื่อการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และเพื่อการสื่อสารสื่อความคิดได้ตามเจตนารมณ์
โรงเรียนบรบือ ตั้งอยู่เลขที่๗๖๙ หมู่ ๑ ถนนแจ้งสนิท ตำบลบรบือ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม รหัสไปรษณีย์ ๔๔๑๓๐ โทรศัพท์ ๐๔๓- ๗๐๖๘๘๘ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ประจำอำเภอบรบือ มีจำนวนนักเรียน ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ จำนวน ๓๙๓ คน มีผู้บริหาร ครู และลูกจ้างประจำ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ รวม ๓๐ คน รับผิดชอบจัดการศึกษาในพื้นที่เขตบริการ 12 หมู่บ้าน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม
แม้ว่าโรงเรียนบรบือ ได้พยายามส่งเสริมและยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยมาอย่างต่อเนื่องก็ตามแต่ในปีการศึกษาที่ผ่านมาพบว่านักเรียนมีผลการทดสอบระดับชาติ (O-Net) ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และกลุ่มสาระอื่น ๆ ต่ำกว่าเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนด อันมีสาเหตุมาจากนักเรียนส่วนใหญ่จะมีปัญหาด้านความสามารถการอ่านการเขียนภาษาไทย บางคนยังอ่านเขียนไม่คล่อง ทั้ง ๆ ที่เรียนอยู่ในช่วงชั้นที่ ๓ จึงทำให้เป็นปัญหาในการจัดการเรียนการสอนของคณะครูในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และส่งผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่อ่อนด้อยตามไปด้วย จึงตระหนักและได้หาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะวิชาภาษาไทยซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาอื่น ๆ นักเรียนจึงจำเป็นต้องอ่านออกเขียนได้ทุกคน และเพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามนโยบายสำคัญของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม ที่ได้กำหนดนโยบายสำคัญให้โรงเรียนในสังกัดคัดกรองนักเรียนตามเครื่องมือที่ สพม.มค ได้พัฒนาขึ้นอีกประการหนึ่ง โรงเรียนจึงได้ดำเนินกิจกรรมนี้เพื่อเป็นการแก้ไข และพัฒนาการอ่านและการเขียนให้กับนักเรียนในกลุ่มเป้าหมายตลอดจนปลูกฝังให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่านอันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการฟัง พูด อ่าน เขียน และคิดได้สามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้กลุ่มสาระอื่นได้อย่างมีคุณภาพอีกด้วย
๓. วัตถุประสงค์
๓.๑ เพื่อลดภาวะความรู้ถดถอย (Learning Loss) อ่านออกเขียนได้ และอ่านคล่องเขียนคล่อง
๓.๒ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยให้สูงขึ้น
๓.๓ เพื่อพัฒนาผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีนิสัยรักการอ่าน รักการค้นคว้า เกิดการใฝ่รู้ และนำไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
๔. เป้าหมาย
๔.๑ ด้านปริมาณ
๑. นักเรียน จำนวน ๓๙๓ คน ได้รับการพัฒนาทักษะให้นักเรียน อ่านออกเขียนได้ และอ่านคล่องเขียนคล่อง
๒. นักเรียนจำนวน ๓๙๓ คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
๓. ครู และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนนาโพธิ์พิทยาสรรพ์จำนวน ๓๐ คน และนักเรียน จำนวน ๓๙๓ คนได้ร่วมกิจกรรมตามโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
๔.๒ ด้านคุณภาพ
๑. นักเรียนร้อยละ ๘๐ อ่านออกเขียนได้ อ่านคล่อง เขียนคล่อง มีทักษะการอ่าน การเขียนและการฟัง อย่างมีประสิทธิภาพ
๒. บุคลากรในโรงเรียนบรบือ มีนิสัยรักการอ่าน และมีทักษะในการแสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ อันจะส่งผลให้เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนและเป็นคนที่มีคุณภาพ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยและกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ สูงขึ้น
๕. กระบวนการพัฒนา วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices : BP)
๕.๑ กิจกรรม/วิธีการ/ขั้นตอนที่สำคัญ
แผนผังแสดงขั้นตอนการดำเนินงาน
๕.๒ กิจกรรมการดำเนินงานแก้ปัญหาและพัฒนาการอ่านการเขียนของนักเรียน ( ครูประจำชั้น / ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย)
( P : ขั้นวางแผน )
๑. คัดกรองนักเรียนและแบ่งกลุ่มนักเรียน
๑.๑ ประเมินทักษะการอ่านการเขียนของนักเรียนเป็นรายบุคคล โดยใช้เครื่องมือที่ สพม.มค
พัฒนาขึ้น
อ่านคำพื้นฐานจากเครื่องมือที่ สพม.มค กำหนด
เขียนคำบอกจากคำพื้นฐานนั้น ๆ
อ่านนิทาน / ข้อความสั้น ๆ
บันทึกผลการอ่าน / การเขียนของนักเรียนเป็นรายบุคคล
ประเมินผล
๑.๒ แบ่งกลุ่มนักเรียน ตามผลการประเมินจากแบบคัดกรอง เพื่อเป็นแนวทางแก้ไข และพัฒนาการอ่านและการเขียนด้วย วิธีการและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละกลุ่ม
กลุ่มที่ ๑ นักเรียนอ่านคล่อง / เขียนคล่อง
กลุ่มที่ ๒ นักเรียนอ่านไม่คล่อง / เขียนไม่คล่อง
กลุ่มที่ ๓ นักเรียนอ่านไม่ออก / เขียนไม่ได้
๒. กำหนดกิจกรรมการพัฒนารายกลุ่ม เป็นการกำหนดวิธีการและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละกลุ่ม เพื่อฝึกทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนให้เหมาะสมมากขึ้น
กลุ่มที่ ๑ นักเรียนอ่านคล่อง / เขียนคล่อง
(จัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการ อ่าน )
๑. กิจกรรมดีเจเสียงใสใส่ใจสาระ
๒. กิจกรรมแนะนำหนังสือเล่มโปรด
๓. กิจกรรมแต่งกลอนสร้างสรรค์
๔. กิจกรรมเยาวชนไทยลายมือสวยและถูกต้อง
๕. กิจกรรมหนังสือเล่มเล็กเด็กทำได้
๖. กิจกรรมตะกร้าหนังสือสื่อความรู้
๗. กิจกรรมขอรับบริจาคหนังสือ
๘. กิจกรรมจัดป้ายนิเทศและจัดนิทรรศการสำคัญ
๙. กิจกรรมบันทึกรักการอ่าน
๑๐. กิจกรรมมุมรักการอ่านประจำห้องเรียน
๑๑. กิจกรรมภาษาอังกฤษ-ภาษาจีนสัปดาห์ละคำ
๑๒. กิจกรรมแข่งขันเปิดพจนานุกรม
๑๓. กิจกรรมรู้ทันข่าว
๑๔. กิจกรรมแบ่งปันความรู้สู่ชุมชน
๑๕. กิจกรรมความดีที่ฉันทำ(บันทึกความดี)
๑๖. กิจกรรมท่องสูตรคูณและคำศัพท์
๑๗. กิจกรรมยอดนักอ่าน
๑๘. กิจกรรมแนะนำหนังสือใหม่
๑๙. กิจกรรมสรรสาระน่ารู้ประจำวัน
๒๐. กิจกรรมเปิดโลกอาเซียน
กลุ่มที่ ๒ นักเรียนอ่านไม่คล่อง / เขียนไม่คล่อง
- อ่านนิทาน / บทความ / หนังสือ กับเพื่อนหรือครู
- บอกข้อคิดที่ได้จากการอ่าน บันทึกลงในแบบบันทึก
การอ่าน
- เขียนตามคำบอกทั้งแบบเป็นคำและเป็นประโยคสั้น ๆ
กลุ่มที่ ๓ นักเรียนอ่านไม่ออก / เขียนไม่ได้
( สอนแบบบันไดทักษะ ๖ ขั้น )
ขั้นที่ ๑ ฝึกอ่านทุกวันเพื่อความต่อเนื่อง โดยใช้หนังสือเรียน นิทาน คำ อักษรไทย
ขั้นที่ ๒ ฝึกการอ่านควบคู่กับการเขียน โดยใช้อักษรไทย คำ ประโยค นิทาน
ขั้นที่ ๓ การฝึกคัดลายมือ นอกจากทำให้ลายมือสวยงามแล้วยังเป็นการช่วยในการจดจำรูปคำต่าง ๆ ได้
ขั้นที่ ๔ การวาดรูปประกอบคำ ด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสนุกไปกับงาน โดยมีการจำแนกคำ ออกมาเพื่อให้นักเรียนเข้าใจการผสมคำมากขึ้น
ขั้นที่ ๕ การนำคำมาแต่งเป็นประโยคสื่อสารรูปหรือเหตุการณ์จริง เช่น ใคร+ทำอะไร, ใคร+ทำอะไร+กับใคร
ขั้นที่ ๖ การเขียนคำตามภาพวาดโดยให้นักเรียนมีอิสระตามความคิดของนักเรียนเอง
( D : ขั้นดำเนินงาน )
๓. ดำเนินการพัฒนาการอ่าน การเขียน ตามกิจกรรมตามที่กำหนดตลอดปีการศึกษา
( C : ขั้นติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล )
๔. ประเมินผลการอ่านการเขียนของนักเรียน เพื่อดูพัฒนาการ การอ่านและการเขียนของนักเรียน
พัฒนาการของนักเรียน ( ดูจากแบบบันทึกความก้าวหน้า )
แบบสรุปพัฒนาการของนักเรียน
แบบบันทึกการการอ่าน / การเขียนของนักเรียน
ผลสัมฤทธิ์ การเรียนภาษาไทยและกลุ่มสาระ
ผลการทดสอบระดับชาติ (O-Net)
๕. รวบรวมสรุปผลข้อมูล เพื่อสรุปผลการดำเนินกิจกรรมประสบผลสำเร็จบรรลุเป้าหมายมากน้อยเพียงใด
นักเรียนมีพัฒนาการด้านการอ่านการเขียนดีขึ้นกว่าเดิม
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนพัฒนาขึ้น
ผลการทดสอบระดับชาติผ่านเกณฑ์
( A : ขั้นพัฒนา แก้ไข / ปรับปรุง)
นำผลการประเมินมาปรับปรุงแก้ไข โดยตรวจสอบกิจกรรมที่ควรปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
ได้แก่ ปรับวิธีการที่ให้พ่อแม่ช่วยเหลือการเรียนของลูก / จัดให้มีกิจกรรมพี่ช่วยน้องในปีต่อไป ฯลฯ
๖. ผลการดำเนินงาน
๖.๑ ผลที่เกิดตามจุดประสงค์
๑) ความสามารถด้านภาษาไทยด้านการอ่านการเขียนของ นักเรียนดีขึ้น จำนวนเด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้มีจำนวนลดลง
๒) ผลการสอบระดับชาติ (O-Net) ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยรวมทั้งกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
๓) นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่รู้ใฝ่เรียน สามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยใช้สื่อเทคโนโลยี
๖.๒. ผลสัมฤทธิ์ของงาน
๑) ความสามารถด้านภาษาไทยด้านการอ่านการเขียนของ นักเรียนชั้น ม.๑ - ม.๖ สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาโดยคะแนนเฉลี่ยภาพรวมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
๒) ผลการสอบระดับชาติ (O-Net) ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นม.๓ และม.๖ สูงขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา
๓) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในทุกกลุ่มสาระสูงขึ้น
๖.๓ ประโยชน์ที่ได้รับ
๑) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาไทยและวิชาอื่น ๆ สูงขึ้น
๒) ครูและนักเรียนโรงเรียนบรบือมีนิสัยรักการอ่าน รักการค้นคว้า
๗. บทเรียนที่ได้รับ
๗.๑ การดำเนินงานที่เป็นระบบจะส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียนที่ยั่งยืน
๗.๒ การดำเนินกิจกรรมต้องอาศัยปัจจัยหลายประการที่สำคัญคือ ปัจจัยด้านบุคลากรในโรงเรียน
๗.๓ การดำเนินกิจกรรมที่บรรลุผลสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือของบุคลากรทุกฝ่าย
๗.๔ ผู้ปกครองนับเป็นเครือข่ายการพัฒนาที่สำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียน
๘. ปัจจัยเกื้อหนุนและปัจจัยแห่งความสำเร็จ
๘.๑ ผู้บริหารโรงเรียนให้ความสำคัญและเอาใจใส่กับการดำเนินงานรวมทั้งสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอ
๘.๒ การดำเนินกิจกรรมมีเวลาที่เพียงพอซึ่งต้องใช้เวลาตลอดภาคเรียน
๘.๓ คณะครูและบุคลากรมีความตระหนักและเห็นความสำคัญของภาษาไทย มีความรักความเมตตา
ให้ความอบอุ่นแก่นักเรียน
๘.๔ นักเรียนมีนิสัยรักการอ่านและรักการเรียนรู้
๙. การเผยแพร่/การได้รับการยอมรับ/รางวัลที่ได้รับ
๙.๑ จัดนิทรรศการเผยแพร่แก่นักเรียน ครูในโรงเรียน
๙.๒ ประชาสัมพันธ์ในรูปแบบของจุลสารของโรงเรียนให้ผู้ปกครองทราบ
๙.๓ แจ้งคณะกรรมการสถานศึกษาในที่ประชุม