ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
Advertisement

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาปรก ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ

ที่มาและความสำคัญ

วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาสำคัญที่จะมุ่งพัฒนาให้นักเรียนได้พัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ มีความสามารถในการค้นหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดให้วิชาวิทยาศาสตร์เป็นรายวิชาพื้นฐานที่นักเรียนจะต้องเรียนรู้ในทุกระดับชั้นซึ่งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจำเป็นต้องเรียนรู้ ในสาระการเรียนรู้ต่างๆ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551)

จากการสอนที่โรงเรียนบ้านตาปรก ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้รับหน้าที่ในการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในการปฏิบัติการสอนที่ผ่านมาพบว่า กิจกรรมที่ผู้สอนจัดเตรียม สามารถดำเนินไปได้ตามแผนที่เตรียมไว้ แต่มีนักเรียนบางส่วนที่ไม่สามารถตอบคำถามได้ ไม่กล้าที่จะยกมือถามครู ทำให้นักเรียนขาดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา ไม่สามารถสรุปและอภิปรายผลหลังจากทำกิจกรรมการเรียนการสอนได้ ส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของนักเรียนต่ำ ซึ่งปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยพบว่าในห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนไม่เข้าใจในเนื้อหาที่เรียน ทำงานที่มอบหมายช้า ขณะที่เรียนจะตั้งใจฟัง แต่มีพูดคุยกันบางครั้ง เบื้องต้นครูแก้ไขโดยการกล่าวตักเตือนเรื่องพฤติกรรมการพูดคุย และให้เพื่อนนักเรียนช่วยดูแลเรื่องการทำงานในบางครั้ง ทั้งนี้ครูจึงต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้นักเรียนเกิดกระบวนการสร้างความรู้ความสามารถด้วยตนเอง จนสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ให้สูงขึ้น โดยการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และตามมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es)

ผู้วิจัยจึงพยายามศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผู้เรียน และแก้ไขปัญหาพบว่า ในการจัดกระบวนการเรียนรู้จึงต้องคำนึงถึงประโยชน์แก่ผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมมากที่สุด ได้คิด ลงมือปฏิบัติเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลหรือแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย จนสามารถสืบค้นข้อมูลได้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ซึ่งประกอบด้วย 1) ขั้นสร้างความสนใจ 2) ขั้นสำรวจและค้นหา 3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 4) ขั้นขยายความรู้ 5) ขั้นประเมินผล เป็นกิจกรรมการเรียนที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้เกิดการคิดอย่างมีเหตุผล ได้ค้นพบความจริง และได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นวิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ รู้จักคิด รู้จักทำและรู้จักแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม และให้นักเรียนร่วมกันทำกิจกรรมให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งสมาชิกภายในกลุ่มจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และจะต้องร่วมมือกันทำความเข้าใจในบทเรียนนั้นเพื่อความสำเร็จของกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จและช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดียิ่งขึ้น (กระทรวงศึกษาธิการ. 2546)

ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาปรก และเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับรายวิชาวิทยาศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพต่อไป

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es)

ขอบเขตของการศึกษา

กลุ่มเป้าหมาย

กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาปรก ปีการศึกษา 2566 จำนวน 15 คน

ตัวแปรที่ศึกษา

ตัวแปรอิสระ : การเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ

ตัวแปรตาม : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ

ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย

ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย โดยทำการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลาในการทดลอง จำนวน 4 คาบเรียน ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์

เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย

เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของบริษัทอักษรเจริญ (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)

สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ ตัวชี้วัด ป.4/3 สร้างแบบจำลอง แสดงองค์ ประกอบ ของระบบสุริยะ

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ จำนวน 4 แผน ดังนี้

- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวพุธ-ดาวศุกร์

- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวโลก-ดาวอังคาร

- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวพฤหัสบดี-เสาร์

- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวยูเรนัส-ดาวสมุทรหรือดาวเกตุ

2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ

ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย

ในการวิจัยครั้งนี้เพื่อเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีขั้นตอนการวิจัยดังต่อไปนี้

1. ขั้นตอนในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ

ผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีต่างๆ จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาปรก

การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้

1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กรอบสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 รวมทั้งเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยศึกษาเนื้อหาด้านการเขียนแผนสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) และเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ขั้นตอน และเนื้อหา ในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน

1.2 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เพื่อนำมากำหนดจุดประสงค์ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นซึ่งแบ่งออกเป็น 4 แผนการจัดการเรียนรู้ ได้แก่

- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวพุธ-ดาวศุกร์

- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวโลก-ดาวอังคาร

- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวพฤหัสบดี-เสาร์

- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวยูเรนัส-ดาวสมุทรหรือดาวเกตุ

1.3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นขั้นตอนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ประกอบด้วย 1. ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)

2. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration)

3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)

4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) และ

5. ขั้นประเมินผล (Evaluation

สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การวิจัยในครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งสามารถสรุปผลการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย และมีข้อเสนอแนะ ดังนี้

สรุปผลการวิจัย

นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

อภิปรายผลการวิจัย

จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้

การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สรุปได้ดังนี้

1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาปรก ที่ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งสามารถอภิปรายผลการวิจัยได้ว่า การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความอยากรู้อยากเห็น มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม จนทำให้ผู้เรียนสามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งการทำกิจกรรมจะมีผู้สอนคอยอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ ให้คำชี้แนะและให้คำปรึกษา ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของภาวนา เรียมริมมะดัน (2550: บทคัดย่อ) ที่ได้ศึกษาการพัฒนาชุดการสอนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ของเล่นของใช้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ 5E (Inquiry Cycle) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับงานวิจัยของปริญภรณ์ อุไรรัมย์ (2555: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พืชน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พืชน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับพันธ์ ทองชุมนุม (2547: 56-57) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ไว้ว่า การนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้มาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นกระบวนการที่มุ่งให้นักเรียนได้ สืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง สามารถพัฒนาความคิดได้อย่างเต็มที่ รู้จักใช้เหตุผลมาวิเคราะห์บทเรียน คิดอย่างเป็นระบบ ฝึกให้นักเรียนได้ทำงานกันเป็นกลุ่ม เป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดีในบางโอกาส ส่งผลให้นักเรียนได้พัฒนาตนเองเพื่อนำไปประยุกต์กับวิชาอื่นและนักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์

จากเหตุผลดังกล่าว สนับสนุนได้ว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

ข้อเสนอแนะ

จากการเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้

1. ข้อเสนอแนะในการนำงานวิจัยไปใช้

1.1 ในการทำกิจกรรมสามารถปรับกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับธรรมชาติของผู้เรียน และควรใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเหมาะสมกับบทเรียน

1.2 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนควรจัดให้ครบตามที่ได้ระบุไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้กิจกรรมมีความต่อเนื่องและบรรลุผลการเรียนรู้ที่ตั้งไว้

1.3 ในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนควรให้คำปรึกษา แนะนำ และคอยกระตุ้นผู้เรียนอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ และผู้สอนควรเสริมแรงด้วยการกล่าวยกย่อง ชมเชย ให้กำลังใจ และให้ความสนใจกับผู้เรียนทุกคน

2. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป

2.1 ควรสร้างเครื่องมือในการประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น

2.2 ทดลองเปลี่ยนรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่นำมาใช้ในการวิจัย เพื่อให้มีแนวทางในการศึกษาในรูปแบบอื่นเพิ่มขึ้น

2.3 ควรเพิ่มการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมในแต่ละขั้น ซึ่งจะทำให้ผู้วิจัยปรับรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ให้มีคุณภาพสูงขึ้น และเหมาะสมกับผู้เรียนอย่างแท้จริง

โพสต์โดย H2O : [16 ก.ค. 2567 (13:36 น.)]
อ่าน [61520] ไอพี : 1.1.241.18
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
Advertisement

 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 3,337 ครั้ง
"กระชายขาว" สมุนไพรไทยยอดนิยม สรรพคุณเด่น "เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย"
"กระชายขาว" สมุนไพรไทยยอดนิยม สรรพคุณเด่น "เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย"

เปิดอ่าน 11,652 ครั้ง
นับถอยหลังทั้งกาย-ใจ เทศกาลกินเจ ทำกุศลเพื่อ สุขภาพ
นับถอยหลังทั้งกาย-ใจ เทศกาลกินเจ ทำกุศลเพื่อ สุขภาพ

เปิดอ่าน 10,162 ครั้ง
แนวการสอนซ่อมเสริมการอ่านและการเขียน ประถมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1-7
แนวการสอนซ่อมเสริมการอ่านและการเขียน ประถมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 1-7

เปิดอ่าน 43,701 ครั้ง
14 ท่าโพสต์ถ่ายรูปง่ายๆ ถ่ายเมื่อไหร่ก็สวย
14 ท่าโพสต์ถ่ายรูปง่ายๆ ถ่ายเมื่อไหร่ก็สวย

เปิดอ่าน 4,005 ครั้ง
11 ผลไม้บำรุงผิว ช่วยให้ผิวที่เปล่งปลั่ง และสุขภาพดี
11 ผลไม้บำรุงผิว ช่วยให้ผิวที่เปล่งปลั่ง และสุขภาพดี

เปิดอ่าน 15,133 ครั้ง
สดชื่นยามเช้าสำหรับคนนอนดึก
สดชื่นยามเช้าสำหรับคนนอนดึก

เปิดอ่าน 53,697 ครั้ง
อารมณ์(ดี-เสีย)
อารมณ์(ดี-เสีย)

เปิดอ่าน 62,290 ครั้ง
พุทธคุณ 3
พุทธคุณ 3

เปิดอ่าน 399 ครั้ง
ไอเดียอาหารกล่องสุดครีเอทีฟ สำหรับการจัดเลี้ยงนักเรียนจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ
ไอเดียอาหารกล่องสุดครีเอทีฟ สำหรับการจัดเลี้ยงนักเรียนจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ

เปิดอ่าน 948 ครั้ง
บ้านที่มีเอกสารน.ส. 3 ก. เอาไปขอสินเชื่อบ้านแลกเงินได้ไหม ?
บ้านที่มีเอกสารน.ส. 3 ก. เอาไปขอสินเชื่อบ้านแลกเงินได้ไหม ?

เปิดอ่าน 880,524 ครั้ง
ประมวลศัพท์ คำพ้องรูป ในภาษาไทย ที่ควรรู้
ประมวลศัพท์ คำพ้องรูป ในภาษาไทย ที่ควรรู้

เปิดอ่าน 12,675 ครั้ง
"สับปะรด" ลดริ้วรอยบนใบหน้า
"สับปะรด" ลดริ้วรอยบนใบหน้า

เปิดอ่าน 15,687 ครั้ง
นอนหลับท่าไหนดีที่สุด
นอนหลับท่าไหนดีที่สุด

เปิดอ่าน 14,394 ครั้ง
ชมคลิป ครูนครสวรรค์ แปลงร่างเป็นฮีโร่ เด็กๆ ชอบมาก
ชมคลิป ครูนครสวรรค์ แปลงร่างเป็นฮีโร่ เด็กๆ ชอบมาก

เปิดอ่าน 19,873 ครั้ง
ตอบข้อข้องใจ...สมาชิก ช.พ.ค. เรื่อง จำนวนสมาชิก ช.พ.ค. ทั้งหมด ใครถึงแก่กรรม/ใครสมัครใหม่
ตอบข้อข้องใจ...สมาชิก ช.พ.ค. เรื่อง จำนวนสมาชิก ช.พ.ค. ทั้งหมด ใครถึงแก่กรรม/ใครสมัครใหม่

เปิดอ่าน 20,505 ครั้ง
สาวจีนวัย 27 ป่วยเป็นโรคแก่ก่อนวัย เหมือนคนอายุ 70
สาวจีนวัย 27 ป่วยเป็นโรคแก่ก่อนวัย เหมือนคนอายุ 70
เปิดอ่าน 3,223 ครั้ง
เตรียมพร้อมลูก เปิดเทอมใหม่ห่างไกลโควิด
เตรียมพร้อมลูก เปิดเทอมใหม่ห่างไกลโควิด
เปิดอ่าน 15,953 ครั้ง
สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ใช้พระนาม "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ"
สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ใช้พระนาม "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ"
เปิดอ่าน 19,678 ครั้ง
การศึกษาไทย กระบวนทัศน์ที่หลงทาง
การศึกษาไทย กระบวนทัศน์ที่หลงทาง
เปิดอ่าน 21,364 ครั้ง
ข้าวโพดสีม่วง ช่วยต้านมะเร็ง
ข้าวโพดสีม่วง ช่วยต้านมะเร็ง

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
ติวสอบ GED
ติวสอบ SAT
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ