ที่มาและความสำคัญ
วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาสำคัญที่จะมุ่งพัฒนาให้นักเรียนได้พัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ มีความสามารถในการค้นหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดให้วิชาวิทยาศาสตร์เป็นรายวิชาพื้นฐานที่นักเรียนจะต้องเรียนรู้ในทุกระดับชั้นซึ่งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจำเป็นต้องเรียนรู้ ในสาระการเรียนรู้ต่างๆ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551)
จากการสอนที่โรงเรียนบ้านตาปรก ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้รับหน้าที่ในการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในการปฏิบัติการสอนที่ผ่านมาพบว่า กิจกรรมที่ผู้สอนจัดเตรียม สามารถดำเนินไปได้ตามแผนที่เตรียมไว้ แต่มีนักเรียนบางส่วนที่ไม่สามารถตอบคำถามได้ ไม่กล้าที่จะยกมือถามครู ทำให้นักเรียนขาดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา ไม่สามารถสรุปและอภิปรายผลหลังจากทำกิจกรรมการเรียนการสอนได้ ส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของนักเรียนต่ำ ซึ่งปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยพบว่าในห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนไม่เข้าใจในเนื้อหาที่เรียน ทำงานที่มอบหมายช้า ขณะที่เรียนจะตั้งใจฟัง แต่มีพูดคุยกันบางครั้ง เบื้องต้นครูแก้ไขโดยการกล่าวตักเตือนเรื่องพฤติกรรมการพูดคุย และให้เพื่อนนักเรียนช่วยดูแลเรื่องการทำงานในบางครั้ง ทั้งนี้ครูจึงต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้นักเรียนเกิดกระบวนการสร้างความรู้ความสามารถด้วยตนเอง จนสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ให้สูงขึ้น โดยการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และตามมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es)
ผู้วิจัยจึงพยายามศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผู้เรียน และแก้ไขปัญหาพบว่า ในการจัดกระบวนการเรียนรู้จึงต้องคำนึงถึงประโยชน์แก่ผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมมากที่สุด ได้คิด ลงมือปฏิบัติเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลหรือแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย จนสามารถสืบค้นข้อมูลได้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ซึ่งประกอบด้วย 1) ขั้นสร้างความสนใจ 2) ขั้นสำรวจและค้นหา 3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 4) ขั้นขยายความรู้ 5) ขั้นประเมินผล เป็นกิจกรรมการเรียนที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้เกิดการคิดอย่างมีเหตุผล ได้ค้นพบความจริง และได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นวิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ รู้จักคิด รู้จักทำและรู้จักแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม และให้นักเรียนร่วมกันทำกิจกรรมให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งสมาชิกภายในกลุ่มจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และจะต้องร่วมมือกันทำความเข้าใจในบทเรียนนั้นเพื่อความสำเร็จของกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จและช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดียิ่งขึ้น (กระทรวงศึกษาธิการ. 2546)
ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาปรก และเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับรายวิชาวิทยาศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es)
ขอบเขตของการศึกษา
กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาปรก ปีการศึกษา 2566 จำนวน 15 คน
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรอิสระ : การเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ
ตัวแปรตาม : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย โดยทำการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลาในการทดลอง จำนวน 4 คาบเรียน ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของบริษัทอักษรเจริญ (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ ตัวชี้วัด ป.4/3 สร้างแบบจำลอง แสดงองค์ ประกอบ ของระบบสุริยะ
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ จำนวน 4 แผน ดังนี้
- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวพุธ-ดาวศุกร์
- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวโลก-ดาวอังคาร
- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวพฤหัสบดี-เสาร์
- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวยูเรนัส-ดาวสมุทรหรือดาวเกตุ
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย
ในการวิจัยครั้งนี้เพื่อเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีขั้นตอนการวิจัยดังต่อไปนี้
1. ขั้นตอนในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ
ผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีต่างๆ จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาปรก
การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้
1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กรอบสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 รวมทั้งเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยศึกษาเนื้อหาด้านการเขียนแผนสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) และเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ขั้นตอน และเนื้อหา ในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน
1.2 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เพื่อนำมากำหนดจุดประสงค์ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นซึ่งแบ่งออกเป็น 4 แผนการจัดการเรียนรู้ ได้แก่
- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวพุธ-ดาวศุกร์
- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวโลก-ดาวอังคาร
- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวพฤหัสบดี-เสาร์
- แผนการสอน เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ : ดาวยูเรนัส-ดาวสมุทรหรือดาวเกตุ
1.3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นขั้นตอนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ประกอบด้วย 1. ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
2. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration)
3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) และ
5. ขั้นประเมินผล (Evaluation
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยในครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งสามารถสรุปผลการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย และมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
สรุปผลการวิจัย
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
อภิปรายผลการวิจัย
จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สรุปได้ดังนี้
1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาปรก ที่ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งสามารถอภิปรายผลการวิจัยได้ว่า การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความอยากรู้อยากเห็น มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม จนทำให้ผู้เรียนสามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งการทำกิจกรรมจะมีผู้สอนคอยอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ ให้คำชี้แนะและให้คำปรึกษา ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของภาวนา เรียมริมมะดัน (2550: บทคัดย่อ) ที่ได้ศึกษาการพัฒนาชุดการสอนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ของเล่นของใช้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ 5E (Inquiry Cycle) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับงานวิจัยของปริญภรณ์ อุไรรัมย์ (2555: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พืชน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พืชน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร 5E หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับพันธ์ ทองชุมนุม (2547: 56-57) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ไว้ว่า การนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้มาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นกระบวนการที่มุ่งให้นักเรียนได้ สืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง สามารถพัฒนาความคิดได้อย่างเต็มที่ รู้จักใช้เหตุผลมาวิเคราะห์บทเรียน คิดอย่างเป็นระบบ ฝึกให้นักเรียนได้ทำงานกันเป็นกลุ่ม เป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดีในบางโอกาส ส่งผลให้นักเรียนได้พัฒนาตนเองเพื่อนำไปประยุกต์กับวิชาอื่นและนักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
จากเหตุผลดังกล่าว สนับสนุนได้ว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
ข้อเสนอแนะ
จากการเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้
1. ข้อเสนอแนะในการนำงานวิจัยไปใช้
1.1 ในการทำกิจกรรมสามารถปรับกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับธรรมชาติของผู้เรียน และควรใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเหมาะสมกับบทเรียน
1.2 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนควรจัดให้ครบตามที่ได้ระบุไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้กิจกรรมมีความต่อเนื่องและบรรลุผลการเรียนรู้ที่ตั้งไว้
1.3 ในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนควรให้คำปรึกษา แนะนำ และคอยกระตุ้นผู้เรียนอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ และผู้สอนควรเสริมแรงด้วยการกล่าวยกย่อง ชมเชย ให้กำลังใจ และให้ความสนใจกับผู้เรียนทุกคน
2. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรสร้างเครื่องมือในการประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น
2.2 ทดลองเปลี่ยนรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่นำมาใช้ในการวิจัย เพื่อให้มีแนวทางในการศึกษาในรูปแบบอื่นเพิ่มขึ้น
2.3 ควรเพิ่มการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมในแต่ละขั้น ซึ่งจะทำให้ผู้วิจัยปรับรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ให้มีคุณภาพสูงขึ้น และเหมาะสมกับผู้เรียนอย่างแท้จริง