การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
โดยใช้โครงงานเป็นฐาน
A Development of Achievement And Innovative Thinking for Mathayom Suksa 4 students by Project-based Learning
ยุภาวดี พลเยี่ยม1
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานให้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80
2) เพื่อพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานกลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนโพนทองวิทยายน จังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำนวนนักเรียนทั้งหมด 35 คน เครื่องมือในการวิจัย คือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน 12 แผนการเรียนรู้ แผนละ 1 ชั่วโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินชิ้นงาน/ผลงาน แบบ rubric score แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน และแบบสัมภาษณ์นักเรียน เนื้อหาในการวิจัย ได้แก่ สาระการเรียนรู้วิชาสุขศึกษา สาระที่ 4 การสร้างเสริมสุขภาพสมรรถภาพและการป้องกันโรค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 7 ตัวชี้วัด ระยะเวลาในการวิจัย คือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
บทนำ
ภูมิหลัง
การจัดการศึกษาในยุคปัจจุบันมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถที่สอดคล้องและตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของประชาคมโลกในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีการขับเคลื่อนโดยการพัฒนาโดยใช้การเรียนรู้ องค์ความรู้ และนวัตกรรมในการพัฒนาจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาผู้เรียนให้สามารถสร้างองค์ความรู้ แนวคิด กระบวนการที่จะสามารถสร้างนวัตกรรมด้วยตนเอง มาตรฐานการศึกษาแห่งชาติจึงมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้ทักษะและคุณลักษณะพื้นฐานของพลเมืองไทย ทักษะและ คุณลักษณะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 )
จากการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาสุขศึกษา ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโพนทองวิทยายน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาสุขศึกษา ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง ถึงแม้ผู้เรียนจะมีความคิดว่าเป็นวิชาที่ง่ายและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตามกระบวนการที่ครูผู้สอนจัดการเรียนรู้และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้ศึกษาค้นคว้าได้พบว่า ปัญหาในการจัดการเรียนรู้ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีผู้เรียนที่ไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ตามตัวชี้วัดในเรื่อง การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ เป็นจำนวนมากคิดเป็นร้อยละ 57.14 จากนักเรียน 20 คน ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ต่ำ มีคะแนนเฉลี่ยของการสอบปลายภาคเรียนที่ 1/2565 คือ ร้อยละ 64.06 ไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่สถานศึกษากำหนดคือ ร้อยละ 75 และนอกจากนี้จากการวิเคราะห์แบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ในประเด็น พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการคิดเชิงนวัตกรรม พบว่า นักเรียนขาดความสนใจในการ ทำกิจกรรมกลุ่ม ไม่สามารถแบ่งงานที่รับมอบหมายอย่างเหมาะสม ตลอดจนนักเรียนไม่มีความสามารถในการถ่ายทอดจินตนาการจากนามธรรมเป็นรูปธรรมในเกณฑ์ รวมถึงการวางแผนในการทำงานหรือแก้ไขปัญหาในชั้นเรียนสุขศึกษา เมื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูถึงแม้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้รับความรู้ ทักษะปฏิบัติ และเจตคติ แต่รูปแบบของกิจกรรมยังทำให้ผู้เรียนไม่ได้ลงมือแก้ปัญหาด้วยวิธีของตนเองที่มีความสนใจและลองคิดสิ่งใหม่ๆในการแก้ไขปัญหา คือการคิดเชิงนวัตกรรมโดยจะประกอบไปด้วยทักษะ ต่าง ๆ ในการพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรม โดยการคิดเชิงนวัตกรรมคือ การคิดหรือกระบวนการแก้ไขปัญหาโดยการค้นหา การผสมผสานและจัดเรียงจากข้างในเพื่อให้ได้แนวคิดหรือวิธีการใหม่ๆ (Weiss and Legrand. 2011) โดยทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมประกอบด้วย 6 ทักษะดังนี้ 1.การใส่ใจหรือเอาใจใส่ 2.การเห็นคุณค่าคุณลักษณะส่วนบุคคล 3.การถ่ายทอดจินตนาการ 4.การเล่นอย่างจริงจัง 5.การร่วมมือในการสืบค้น 6.การปั้นแต่ง ซึ่งจากนิยามของ วีชและเลแกนด์ ผู้วิจัยเห็นความสอดคล้องของการจัดการเรียนการสอนเพื่อที่จะให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่จะนำไปสู่การคิดเชิงนวัตกรรมข้างต้นคือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (project based learning) เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้กำหนดสิ่งที่สนใจ แนวทาง วิธีการแก้ไขปัญหา รวมถึงกระบวนการทำงานอย่างเสรีอหลากหลายมิติผ่านกระบวนการกลุ่ม เป็นไปตามหลักแนวคิดของการเรียนรู้ constructionist ผู้เรียนจะมีอิสระในการเลือกทำโครงงานตามความสนใจของตนเองอย่างเสรีกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน เป็นการจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอน โดยให้ผู้เรียนได้ร่วมกันเลือกทำโครงการที่ตนสนใจ โดยร่วมกันสำรวจ สังเกต และกำหนดเรื่องที่ตนสนใจ วางแผนในการทำโครงการร่วมกัน ศึกษาหาข้อมูลความรู้ที่จำเป็น และลงมือปฏิบัติงานตามแผนงานที่วางไว้จนได้ข้อค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ แล้วจึงเขียนรายงานและนำเสนอต่อสาธารณชน เก็บข้อมูล แล้วนำผลงานประสบการณ์ทั้งหมดมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดกัน และสรุปผลการเรียนรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ที่ได้รับทั้งหมด (ทิศนา แขมมณี. 2560) การเรียนรู้ผ่านโครงงานเป็นฐานจึงมีจุดประสงค์เพื่อค้นพบความรู้ใหม่ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ และวิธีการใหม่ด้วยตัวของผู้เรียนเองโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีครูอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้คำปรึกษา ความรู้ใหม่ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ (พิมพันธ์ เดชะคุปต์. 2553) โดยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชาที่ผู้สอนกำหนดไว้ เริ่มจากการกำหนดสถานการณ์ปัญหาร่วมกันภายในกลุ่ม สู่การตั้งสมมติฐาน การออกแบบกระบวนการในการแก้ไขปัญหาหรือสร้างชิ้นงาน ตามกระบวนการที่วางแผนไว้ สมาชิกทุกคนในกลุ่มจะมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมทุกคนอย่างมีความสุขเพราะเป็นปัญหาที่ผู้เรียนให้ความสนใจร่วมกัน ครูมีบทบาทในการเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะแนวทางในการแก้ปัญหาของผู้เรียนทำหน้าที่สนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเหมาะสม การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานจึงเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะกระบวนการ ในการแก้ไขปัญหาอย่างเสรีนำไปสู่การคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงนวัตกรรมที่เป็นทักษะที่สำคัญของเด็กในในยุคศตวรรษที่ 21 เพื่อเป็นการพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมผู้วิจัยได้นำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ประเภทโครงงานสิ่งประดิษฐ์ โดยยึดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานของ (วิมลศรี สุวรรณรัตน์. 2550) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนา ซึ่งมีความสอดคล้องกับทักษะที่เป็นองค์ประกอบของการคิดเชิงนวัตกรรม (Horth and Buchner. 2009) ดังนี้ ขั้นนำผู้เรียนรับรู้จุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจในการเรียน ขั้นทบทวนความรู้เดิมผู้เรียนแสดงออกถึงความรู้เดิมโดยการอภิปรายกลุ่ม ขั้นปรับเปลี่ยนแนวคิดผู้เรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติในการแสวงหาความรู้ ขั้นสร้างความรู้ผู้เรียนนำเสนอผลงาน จากข้อค้นพบและมีการประเมินผลงาน ขั้นนำความรู้ไปใช้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายมีโอกาสใช้แนวคิดหรือความรู้ ความเข้าใจที่พัฒนาขึ้นมาใหม่
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ประเภทโครงงานสิ่งประดิษฐ์ จึงเป็น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดกระบวนการคิดเชิงนวัตกรรมแก่ผู้เรียน ผู้เรียนจะมีการใส่ใจหรือเอาใจใส่ในประเด็นปัญหาตามจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชาสุขศึกษาที่ครูนำเสนอในขั้นกระตุ้นความสนใจ ผ่านการเห็นคุณค่าคุณลักษณะส่วนบุคคลในกิจกรรมการทำงานกลุ่มและร่วมกันกำหนดปัญหาที่สนใจอย่างเสรี ผ่านการถ่ายทอดจินตนาการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ มีความสุข ในการลงมือปฏิบัติงานผ่านการค้นคว้าในบรรยากาศการเล่นอย่างจริงจังด้วยกระบวนการร่วมมือในการสืบค้นเพื่อแก้ไขปัญหาหรือสร้างชิ้นงานเพื่อส่งเสริมสุขภาพตามรายวิชาสุขศึกษาสู่การปั้นแต่ง โดยการคิดอย่างสร้างสรรค์ ครบตามทักษะที่จะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิดเชิงนวัตกรรมได้ ครูจะสามารถประยุกต์ใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานในสาระการเรียนรู้ สุขศึกษา เพื่อที่จะพัฒนาทักษะการคิดเชิงวัตกรรมแก่ผู้เรียนอย่างต่อเนื่องให้มีคุณในระดับสูงขึ้นไป ทำให้ผู้เรียนเกิดความสุขในการเรียนเพราะเป็นรูปแบบกิจกรรมที่สามารถปรับให้ทันสมัย ไม่ยึดรูปแบบการสอนแบบเดิม โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานครูทำหน้าที่บริหารจัดการชั้นเรียนและประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้เครื่องมือที่มีมาตรฐานทำให้การจัดการเรียนการสอนวิชาสุขศึกษา มีความหมายมากยิ่งขึ้น โดยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสุข เกิดความคิดสร้างสรรค์ ในการการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ตามกระบวนการคิดเชิงนวัตกรรม
ความมุ่งหมายของการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานให้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80
2.เพื่อพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน
วิธีการดำเนินการวิจัย
กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้วิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนโพนทองวิทยายน จังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ดจำนวนนักเรียนทั้งหมด 35 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน สาระการเรียนรู้สุขศึกษา การ
สร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการป้องกันโรค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 12 แผน 12 ชั่วโมง
2. แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้สุขศึกษา การสร้างเสริมสุขภาพ
สมรรถภาพและการป้องกันโรค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ จำนวน 2 ชุด โดยผู้วิจัยคัดเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.60 1.00
3. แบบประเมินชิ้นงาน/ผลงาน แบบ rubric score อิงตามการคิดเชิงนวัตกรรม โดยประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบประเมินแต่ละข้อกับองค์ประกอบการคิดเชิงนวัตกรรมมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องโดยใช้สูตร IOC โดยค่าที่ได้จริงมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.60 1.00
4. แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน แบบ rubric score อิงตามการคิดเชิงนวัตกรรมโดยประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบประเมินแต่ละข้อกับองค์ประกอบการคิดเชิงนวัตกรรมมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องโดยใช้สูตร IOC โดยค่าที่ได้จริงมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.60 1.00
5. แบบสัมภาษณ์นักเรียน อิงตามการคิดเชิงนวัตกรรมโดยประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบประเมินแต่ละข้อกับองค์ประกอบการคิดเชิงนวัตกรรมมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องโดยใช้สูตร IOC โดยค่าที่ได้จริงมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.60 1.00
การดำเนินการวิจัย
ผู้วิจัยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนตามวงรอบ PAOR เก็บรวบรวมข้อมูล 2 วงรอบ ซึ่งแต่ละวงรอบประกอบไปด้วย ขั้น Plan (P) เริ่มจากการวิเคราะห์บริบทผู้เรียน บริบทสถานศึกษา เนื้อหาวิชาสุขศึกษา สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัดในการสอน สู่การศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรม และการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน แล้วออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน พร้อมทั้งออกแบบเครื่องมือในการวัดผลสัมฤทธิ์ แบบประเมินชิ้นงาน แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบสัมภาษณ์ ขั้น Act (A) ขั้นปฏิบัติการสอน จำนวน 6 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง ขั้น Observe (O) สังเกตพฤติกรรม สัมภาษณ์ และทดสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และสะท้อนผลในขั้น Reflect (R) นำผลจากขั้นที่ 1 พัฒนาใน วงรอบ ที่ 2 ตามวงรอบ PAOR หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทั้ง 2 วงรอบแล้วจึงประเมินชิ้นงาน เพื่อนำผลทั้งหมดมาสรุปและอภิปรายผล
การวิเคราะห์ข้อมูล
1. วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้สุขศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 80
2. วิเคราะห์ผลการประเมินชิ้นงานตาม การคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน กับเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยเทียบเกณฑ์ระดับการประเมินดังนี้
ค่าเฉลี่ย ระดับการประเมิน
80 - 100 ดีเยี่ยม
70 - 79 ดีมาก
60 - 69 ดี
50 - 59 ปานกลาง
0 - 49 ต่ำ
3. วิเคราะห์ผลการสังเกตพฤติกรรมนักเรียน การคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน โดยกับเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยเทียบเกณฑ์ระดับการประเมินดังนี้
ค่าเฉลี่ย ระดับการประเมิน
80 - 100 ดีเยี่ยม
70 - 79 ดีมาก
60 - 69 ดี
50 - 59 ปานกลาง
0 - 49 ต่ำ
4. วิเคราะห์ผลสัมภาษณ์นักเรียน การคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน
ผลการวิจัย
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน วงรอบที่ 1 ได้คะแนนเฉลี่ย 16.50 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 83.00 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนเท่ากับ 0.68 และวงรอบที่ 2 ได้คะแนนเฉลี่ย 17.90 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 89.25 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนเท่ากับ 0.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ ร้อยละ 80
2. ผลพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงานเป็นฐาน จากคะแนนประเมินชิ้นงาน/ผลงาน มีคะแนนรวมเท่ากับ 329 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.45 จากคะแนนเต็ม 18 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 91.38 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.02 โดยอยู่ในระดับ ดีเยี่ยม
จากการสัมภาษณ์ผู้เรียนพบว่า ผู้เรียนสามารถบอกรายละเอียดของเนื้อหาในการส่งเสริมสุขภาพสมรรถภาพและการป้องกันโรคสอดคล้องกับ สถานการณ์ปัจจุบัน สามารถนำกระบวนการทำงานไปประยุกต์ใช้ในชีวิตการเรียนหรือการดำเนินชีวิตการถ่ายทอดจินตนาการ และสามารถจำแนกข้อดี ข้อเสีย ของการทำงานอย่างเสรี กับการทำงานตามคำสั่ง มีการร่วมมือกันในการสืบเสาะ ปฏิบัติตามขั้นตอนสู่ขั้นตอนของการปั้นแต่ง มีการหลอมรวมความคิดจากสถานการณ์ที่กำหนดได้อย่างเหมาะสม
อภิปรายผล
1. ผลการจัดกิจกรรม ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน วงรอบที่ 1 ได้คะแนนเฉลี่ย 16.50 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 83.00 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนเท่ากับ 0.68 และวงรอบที่ 2 ได้คะแนนเฉลี่ย 17.90 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 89.25 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนเท่ากับ 0.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ ร้อยละ 80 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้วิจัยได้ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน รายวิชาสุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แล้ววิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนโพนทองวิทยายน อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด แล้วออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ในรายวิชาสุขศึกษา สาระการเรียนรู้ที่ 4 การส่งเสริมสุขภาพสมรรถภาพและการป้องกันโรคอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นความรู้หรือขั้นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การคิด เชิงนวัตกรรมในด้าน การใส่ใจหรือเอาใจใส่ (Paying attention) โดยสามารถรับรู้รายละเอียดอย่างถี่ถ้วนจากเนื้อหาสาระวิชาสุขศึกษาร่วมกับการสังเกตสถานการณ์ที่เป็นสาเหตุต่อพฤติกรรมสุขภาพ ความรุนแรง และผลกระทบที่อยู่รอบตัว จนสามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติในสิ่งที่สนใจ มีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาสุขภาพได้อย่างมีหลักการ โดยใช้มุมมองที่หลากหลายจะทำให้เห็นปัญหาได้อย่างมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ อมิลิงค์ (Amelink. 2013) ด้านแรกที่จะนำไปสู่การคิดเชิงนวัตกรรม คือความสามารถในการรับความรู้ (Knowledge Acquire) เป็นการซึมซับหรือกลั่นกรองความรู้ เพื่อให้ตนเองเข้าใจและจดจำได้ โดยการใช้กลวิธีการฝึกซ้อม (Rehearsal Strategies) ในรูปแบบต่างๆ เช่นการอ่านหลายๆ ครั้ง การท่องจำคำสำคัญเพื่อให้ตนเองสามารถนึกถึงเนื้อหาที่เป็นประเด็นสำคัญในวิชาที่เรียน และยังสอดคล้องกับ ฮอร์ท และบัคเนอร์ (Horth and Buchner. 2009) ได้กล่าวว่า ในด้านแรกที่จะนำไปสู่การคิดเชิงนวัตกรรมผู้เรียนต้องมี การใส่ใจ (Paying Attention) ซึ่งเป็นความสามารถในการรับรู้รายละเอียดอย่างถี่ถ้วน ในการติดตามสถานการณ์ต่างๆ จนสังเกตเห็นความเป็นไป และสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างถี่ถ้วน ด้วยสายตาที่แหลมคม โดยจะพิจารณาในมุมมองที่แตกต่างและใช้ข้อมูลอย่างหลากหลาย จากแหล่งต่างๆ เพื่อทำให้มองเห็นมุมมองใหม่ๆ
การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมผู้สอนจึงต้องเลือกหาวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มีลำดับขั้นตอนแรกในการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีองค์ความรู้ในสาระการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาอย่างชัดเจนและถูกต้อง โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานตามขั้นการสอนของ วิมลศรี สุวรรณรัตน์ (2550 ) ที่ให้ความสำคัญในขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ตามลำดับในการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ศึกษาองค์ความรู้ในเนื้อหาสาระการเรียนรู้เพื่อเชื่อมโยงสู่การมองปัญหาจากสถานการณ์ในชีวิตประจำวันคือ ขั้นนำ นักเรียนจะรับรู้จุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจในการเรียนเป็นกิจกรรมกลุ่มใหญ่ใช้กับนักเรียนทุกคนในการศึกษาหาความรู้อย่างอิสระในเนื้อหารายวิชาสู่ขั้นทบทวนความรู้เดิมให้นักเรียนแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเดิมที่มีอยู่เกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน โดยการอภิปรายกลุ่ม ให้นักเรียนเขียนเพื่อแสดงความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เป็นกิจกรรมกลุ่มใหญ่ใช้กับนักเรียนทุกคนและตลอดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผู้เรียนยังต้องศึกษาองค์ความรู้ในการพัฒนาชิ้นงานอยู่เป็นระยะๆ ต่อเนื่องเนื้อหารายวิชาทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ในเนื้อหาสาระซึ่งเป็นความรู้จากการสืบค้นและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองทำให้เป็นความรู้ที่คงทนจนนำไปสู่การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและยังสอดคล้องกับงานวิจัยของสุวิษา ไครฉวี (2560) ได้ศึกษาการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ประกอบการเรียนรู้แบบโครงงานวิชาวิทยาศาสตร์ขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยปรากฏว่า ผลการศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบโครงงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้ แบบโครงงานมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่มที่เรียนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ สังคม ไชยสงเมือง (2560) ได้ศึกษาการพัฒนาระบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและทักษะการใช้เทคโนโลยี สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคามผลการวิจัยคือ ระบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและทักษะการใช้เทคโนโลยี มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.21/81.75 4. นักเรียนที่เรียนด้วยระบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยใช้โครงงานเป็นฐานมีทักษะการแก้ปัญหาโดยรวมทั้ง 5 ด้าน และทักษะการใช้เทคโนโลยีโดยรวมและรายด้าน 7 ด้าน หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
2. ผลพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงานเป็นฐาน จากคะแนนประเมินชิ้นงาน/ผลงาน มีคะแนนรวมเท่ากับ 329 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.45 จากคะแนนเต็ม 18 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 91.38 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.02 โดยอยู่ในระดับ ดีเยี่ยม สามารถอภิปรายผลพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมได้เป็นประเด็นดังต่อไปนี้ การใส่ใจหรือเอาใจใส่ (Paying attention) โดยผู้เรียนสามารถรับรู้รายละเอียดของเนื้อหาสาระการเรียนรู้ จากการสังเกตสถานการณ์ที่เป็นสาเหตุผลต่อพฤติกรรมสุขภาพ ความรุนแรง และผลกระทบที่อยู่รอบตัว จนสามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติในสิ่งที่สนใจ มีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาสุขภาพได้อย่างมีหลักการ โดยใช้มุมมองที่หลากหลายจะทำให้เห็นปัญหาได้อย่างมากขึ้น การเห็นคุณค่าคุณลักษณะส่วนบุคคล (Personalizing) ผู้เรียนให้ความสำคัญในคุณค่าของการมองปัญหาของแต่ละบุคคลในสมาชิกในกลุ่ม จากการศึกษาสถานการณ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ แลกเปลี่ยนมุมมองที่แตกต่างมากยิ่งขึ้นยอมรับและหาข้อตกลงร่วมกัน การถ่ายทอดจินตนาการ (Imaging) มีการผสมผสานองค์ความรู้ของตนเองในการพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจากแนวคิดที่เป็นจากนามธรรมสู่รูปธรรมที่สามารถเป็นไปได้โดยการแสดงข้อมูลด้วยภาพ เรื่องราว สถานการณ์ความประทับใจ การเล่นอย่างจริงจัง (Serious Play) มีการสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนของนักเรียนในรายวิชาสุขศึกษา หรือแนวคิดที่สร้างสรรค์ต้องมาจากความรู้สึกที่สนุกสนานมีอิสรเสรีในการค้นคว้า ดังนั้นการเล่นอย่างจริงจังจึงเป็นวิธีการที่นอกจากจะได้เตรียมสภาพจิตใจที่พร้อมในการสร้างสรรค์ผลงานแล้วยังได้รับองค์ความรู้ที่แฝงอยู่ด้วย การร่วมมือในการสืบค้น (Collaborative in query) ผู้เรียนรวมกลุ่มและมีความสนใจในสถานการณ์ปัญหาสุขภาพในแนวทางเดียวกันหรือใกล้เคียงกันผ่านกระบวนการทำงานกลุ่มในการสร้างนวัตกรรม โดยมาจากการแบ่งปันความคิดที่หลากหลายกว้างขวางหลายมุมมองโดยมีความยอมรับนับถือและไว้วางใจ และ การปั้นแต่ง (Crafting) ผู้เรียนสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ขัดแย้งของสมาชิกในกลุ่มขณะปฏิบัติการให้เกิดนวัตกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพสามารถคิดและพิจารณาภาพรวม ทั้งสนับสนุนและเห็นแย้งอย่างมีหลักการ โดยการปั้นแต่งยังเป็นการ แยกปัญหาเป็นส่วนๆ ข้อเท็จจริง เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันที่สมบูรณ์ที่สุด นักเรียนสามารถรับฟังข้อเสนอแนะจากครูผู้สอนหรือบุคคลอื่นนอกกลุ่มจากการนำเสนอเพื่อปั้นแต่งนวัตกรรมของตนเองให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
การสัมภาษณ์ผู้เรียนพบว่า ผู้เรียนสามารถบอกรายละเอียดของเนื้อหาสาระการเรียนรู้วิชาสุขศึกษา สาระที่ 4 การส่งเสริมสุขภาพสมรรถภาพและการป้องกันโรคที่มีความสอดคล้องกับ สถานการณ์ปัจจุบันมีการพิจารณาในมุมมองที่แตกต่างและใช้ข้อมูลอย่างหลากหลาย จากสถานการณ์ที่กำหนด รู้จัก ให้เหตุผลในประสบการณ์ของแต่ละบุคคลจอย่างเหมาะสมพร้อมทั้งจำแนกลักษณะส่วนตัวบุคคลที่เป็นประสบการณ์ นำกระบวนการทำงานไปประยุกต์ใช้ในชีวิตการเรียนหรือการดำเนินชีวิตการถ่ายทอดจินตนาการ สะท้อนมุมมองในระหว่างทำกิจกรรมผู้เรียนสามารถสรุปองค์ความรู้ที่สะท้อนแนวคิดจากสถานการณ์ที่กำหนดให้เหตุผลแสดงข้อมูลด้วยภาพ หรือเรื่องราว สู่การทำงานที่มีการเชื่อมโยงกระบวนการทำงานที่เป็นแบบแผนกับกระบวนการทำงานอย่างเป็นอิสระ บอกประโยชน์ของการทำงานที่ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ และสามารถจำแนกข้อดี ข้อเสีย ของการทำงานอย่างเสรี กับการทำงานตามคำสั่ง มีการร่วมมือกันในการสืบเสาะ ปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานกลุ่มสามารถระบุข้อดีของการทำงานกลุ่มที่ผ่านกระบวนการคิดแบบเสรีบอกประโยชน์ของการการร่วมมือกันในการสืบเสาะผ่านวิธีการปฏิบัติโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และมีการระบุแหล่งเรียนรู้หลากหลายทั้งในท้องถิ่น สู่ขั้นตอนของการปั้นแต่งมีการหลอมรวมความคิดที่ขัดแย้งกันจากสถานการณ์ที่กำหนดได้อย่างเหมาะสมโดยมีการระบุแนวคิดที่มีการพัฒนาต่อยอดโดยสัมพันธ์สถานการณ์ที่กำหนดและเลือกใช้แนวคิดที่มีคุณค่าในการพัฒนาชิ้นงานได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโครงงานงานยังเป็นที่นิยมที่จะพัฒนาผู้เรียนให้มีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นรูปแบบกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ทำงานกลุ่ม รู้คุณค่าของความคิดเห็นที่แตกต่างของสมาชิกในกลุ่มและรับฟังการอภิปรายจากผู้อื่นเพื่อพัฒนาและปรับปรุงผลงานของตนเองให้มีคุณค่าเป็นเช่นนี้เพราะ ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อนพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโพนทองวิทยายน อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้สอนได้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเป็นกิจกรรมที่สามารถพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมตามกระบวนการของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพราะเป็นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ผ่านกระบวนการของโครงงานอย่างเป็นระบบในการคิด และแก้ไขปัญหาเพื่อพัฒนา และสร้างสิ่งใหม่ โดยมีครูผู้สอนเป็นเพียงผู้คอยให้คำแนะนำในการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาชิ้นงานตามรูปแบบการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐานวิมลศรี สุวรรณรัตน์ (2550) ทั้ง 5 ขั้นตอน คือ
1. ขั้นนำ นักเรียนจะรับรู้จุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจในการเรียน เป็นกิจกรรมกลุ่มใหญ่ใช้กับนักเรียนทุกคน
2. ขั้นทบทวนความรู้เดิม ให้นักเรียนแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเดิมที่มีอยู่เกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน โดยการอภิปรายกลุ่ม ให้นักเรียนเขียนเพื่อแสดงความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เป็นกิจกรรมกลุ่มใหญ่ใช้กับนักเรียนทุกคน
3. ขั้นปรับเปลี่ยนแนวคิด ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย
4. ขั้นสร้างความรู้ นักเรียนนำเสนอผลงาน ข้อค้นพบ ความรู้ ครูเป็นที่ปรึกษาตรวจสอบความถูกต้อง ร่วมกันประเมินผลตามสภาพจริง
5. ขั้นนำความรู้ไปใช้ เป็นขั้นตอนที่นักเรียนมีโอกาสใช้แนวคิดหรือความรู้ความเข้าใจที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย เป็นการแสดงว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยมีความสอดคล้องกับการพัฒนาชิ้นงานตามองค์ประกอบของ ฮอรทและบัคเนอร (Horth and Buchner. 2009) ชิ้นงานและพฤติกรรมจึงสะท้อนการหลอมรวมความคิดที่ขัดแย้งกันจากสถานการณ์ที่กำหนดได้อย่างเหมาะสม สามารถระบุแนวคิดที่มีการพัฒนาต่อยอดโดยสัมพันธ์กับสถานการณ์ที่กำหนดโดยเมื่อผู้เรียนได้ผ่านกระบวนการสร้างชิ้นงานอย่างเสรีตามขั้นตอนโครงงานและการคิดเชิงนวัตกรรมที่มีครูผู้สอนคอยเป็นผู้สนับสนุนชี้แนะแนวทางในการศึกษาและสร้างองค์ความรู้ของชิ้นงาน
ผู้สอนได้ออกแบบเกณฑ์การวัดและและประเมินผลชิ้นงานให้มีความสอดคล้องกับกระบวนการสร้างชิ้นงานอิงการคิดเชิงนวัตกรรมและยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ ออลานดิ (Orlandi. 2010) ได้ทำการวิจัยเพื่อศึกษาการออกแบบการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการการพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมของนักศึกษา จากงานวิจัยพบว่า การออกแบบการเรียนรู้แบบโครงงานโดยบูรณาการกับเทคโนโลยีและจัดสถานการณ์การเรียนรู้ให้นักศึกษาเกิดประสบการณ์ส่งผลต่อพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมของนักศึกษาได้เป็นอย่างดี การพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมของนักศึกษา ผู้สอนจะมีบทบาทที่สำคัญคือเป็นผู้คอยสนับสนุน อำนวยความสะดวก และกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดสิ่งแปลกใหม่ และกระตุ้นให้เกิดการสะท้อนและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน โดยสิ่งที่ผู้สอนควรระวังคือการกำหนดการถูกผิด เพราะการกำหนดถูกผิดมากจนเกินไปก็จะเป็นการสกัดกั้นการคิดเชิงนวัตกรรมและคณะ (Lai and others. 2015) เสนอแนะในการส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงนวัตกรรมโดยบูรณาการการเรียนรู้ด้วยโครงงาน มีกลุ่มเป้าหมายเป็น นักศึกษาสาขาวิศวกรรมศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการด้วยโครงงาน สามารถส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงนวัตกรรมของนักศึกษาสาขาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเสนอแนะอีกว่า การจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการด้วยโครงงานเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ น่าสนใจมาก หากนำเทคโนโลยีมาร่วมบูรณาการน่าจะส่งผลให้การจัดการเรียนรู้มีคุณภาพมากขึ้น ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้เรียนมีหลายปัจจัย ได้แก่ วิธีการสอนของครู ความมั่นใจของครูความเชื่อของครูที่มีต่อความสามารถของผู้เรียน ลักษณะของผู้เรียน ดาลิมเปลิล (Dalrymple. 2015)
ข้อเสนอแนะ
1.ข้อเสนอแนะการนำผลการวิจัยไปใช้
1.1 ควรให้เสรีแก่ผู้เรียนในการเลือกเข้ากลุ่มตามความสมัครใจ โดยผู้เรียนแต่ละคนอาจมีความมุ่งหมายหรือความสนใจอยากจะสร้างชิ้นงานที่คล้ายคลึงกัน
1.2 ผู้สอนต้องคอย ติดตาม และควบคุมบริบทชั้นเรียนบ้าง ตามความเหมาะสมเพราะรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานที่พัฒนาการคิดเชิงนวัตกรรมเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงอิสระในการทำงานอย่างเสรี
2.ข้อเสนอแนะสำหรับการทำวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรทำการศึกษาวิจัยการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานสาระการเรียนรู้สุขศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เน้นศึกษาบริบทปัญหาที่เป็นบริบทชุมชนที่ผู้เรียนมีความผูกพันและใกล้ชิด เป็นสถานการณ์ปัญหาใกล้ตัว แล้วเน้นสืบเสาะหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ในชุมชน
2.2 การวัดผลการคิดเชิงนวัตกรรมในการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานสาระการเรียนรู้สุขศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ใช้การวัดผลจากการประเมินชิ้นงาน การสังเกตพฤติกรรมและการสัมภาษณ์ โดยในการทำวิจัยครั้งต่อไปสามารถออกแบบเครื่องมือที่เป็นปรนัย เช่น แบบทดสอบวัดผลการคิดเชิงนวัตกรรม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น