ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
งานวิจัย เรื่องการศึกษาค้นคว้าด้านการอ่านวิชาภาษาไทยในระดับมัธยมศึกษาปีที่3

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน

ชื่อวิจัย การศึกษาค้นคว้าพัฒนาด้านการอ่านวิชาภาษาไทยในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3/6 ของนักเรียนโรงเรียนหนองไผ่

research and Study Thai language reading at grade level Grade 9 Students of nongphai school

ชื่อผู้วิจัย นายธนกฤต ปทุมมาศ

กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย

วิชาที่เลือกทำวิจัยภาษาไทย รหัสวิชา ท23101 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาพัฒนาการอ่านเรื่องจากหนังสือวิชาภาษาไทย โดยการใช้ กิจกรรมการอ่านเรื่อง และทำแบบฝึกหัดเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง กลุ่มทดลองเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 จำนวน 15 คน โรงเรียนหนองไผ่ โดยให้นักเรียนอ่านเรื่องที่ครูกำหนดให้ หลังจากนั้นให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน จากนั้นวิเคราะห์ผลคะแนนโดยใช้วิธีการหาค่าเฉลี่ยและร้อยละพร้อมทั้งให้นักเรียนทำแบบประเมินหนังสือ

ผลการวิจัยพบว่า จากการศึกษาและวิเคราะห์การประเมินความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่า โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก โดยระดับคะแนนเฉลี่ย x ได้ 4.20 และผลการหาประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่านหลังจากนักเรียนได้ทำแบบฝึกหัดท้ายบทโดยคิดเฉลี่ยเป็นร้อยละ 84.67 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 64.23

บทที่ 1 บทนำ

1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

การเรียนการสอนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีวัตถุประสงค์ประการหนึ่งคือ มุ่งปลูกฝังให้นักเรียนได้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน การปลูกฝังให้นักเรียนรักการอ่านจึงมีความจำเป็นหนังสือหรือห้องสมุดจึงเป็นครูคนที่สองของนักเรียนครูจึงจำเป็นต้องจักหาแหล่งค้นคว้าหาความรู้ให้นักเรียนแทนการเป็นผู้บอกเป็นผู้พูดหรือจักทำกิจกรรมต่างๆเสียเอง การส่งเสริมการเรียนให้แก่นักเรียนจึงมีความจำเป็นในการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันทางเลือกที่คาดว่าจะแก้ปัญหา

ผู้วิจัยได้ศึกษาสภาพปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนกลุ่มวิชาภาษาไทย พบว่านักเรียนขาดทักษะในการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง หนังสือสำหรับการอ่านและค้นคว้าบางเนื้อหามีไม่เพียงพอกับความต้องการของนักเรียน นักเรียนบางส่วนยังมีสมรรถภาพในการอ่านไม่ดีพอ นักเรียนบางส่วนยังไม่มีนิสัยรักการอ่าน เมื่อรู้สภาพปัญหาแล้ว ก็นำข้อมูลที่ได้มาเป็นแนวทางเสริมการอ่านพอจะสรุปได้ว่าหนังสือส่งเสริมการอ่าน หมายถึงหนังสือที่จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เป็นไปในทางส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่านและมีนิสัยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น

1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย

1.2.1 นักเรียนสามารถศึกษาหาความรู้การอ่านหนังสือวิชาภาษาไทยได้ด้วยตนเอง

1.2.2 อ่านแล้วเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของภาษาไทย

1.2.3 ช่วยเสริมสร้างทักษะและนิสัยรักการอ่าน

1.2.4 ช่วยเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ตามหลักสูตรให้กว้างขวางขึ้น

1.3 สมมติฐานของการวิจัย

การวิจัยเรื่องการวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาพัฒนาการอ่านเรื่องจากหนังสือวิชาภาษาไทยโดยการใช้ กิจกรรมการอ่านเรื่อง และทำแบบฝึกหัดเกี่ยวกับเนื้อเรื่องกำหนดสมมติฐานดังนี้

1.3.1 นักเรียนสามารถศึกษาหาความรู้การอ่านหนังสือวิชาภาษาไทยแตกต่างกัน

1.3.2 นักเรียนอ่านหนังสือแล้วเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินของภาษาไทยแตกต่างกัน

1.4 ขอบเขตการศึกษา

1.4.1 สถานที่ในการศึกษา โรงเรียน หนองไผ่

1.4.2 ระยะเวลาในการศึกษา 1 มิถุนายน 2566 – 1 กันยายน 2566

1.5 คำนิยามศัพท์เฉพาะ

แบทเลอร์และเคลย์กล่าวว่า การอ่านคือการถ่ายทอดความหมายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยอาศัยภาษาเป็นสื่อ โดยผู้เขียนถ่ายทอดความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจตามความคิดและเจตนาของผู้เขียน ซึ่งการอ่านนี้เป็นกระบวนการเรียนรู้เช่นเดียวกับการพูด การออกเสียงเป็นคำๆ หรือหลายคำ ซึ่งรวมกันเข้าเป็นประโยคที่มีความหมายเมื่อเราอ่านนั้น มิได้จำกัดแต่การอ่านเพียงอย่างเดียว แต่การพูดเป็นรากฐานของการอ่าน ก็เริ่มด้วยวิธีนี้เช่นกัน ( นิตยา ประพฤติกิจ.2564.2 )

ศรีรัตน์ เจิงกลิ่นจันทร์ ( 2565.2 ) กล่าวว่า การอ่านเป็นการแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนำความคิดนั้นไปใช้ประโยชน์ ตัวอักษรเป็นเครื่องหมายแทนคำพูด เพราะฉะนั้นหัวใจของการอ่านจึงอยู่ที่การเข้าใจความหมายของคำ

สรุปได้ว่า การอ่านคือ การรับการถ่ายทอดความหมายจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งโดยใช้ ตัวอักษรเป็นสื่อความคิดและเจตนาของผู้เขียน หรือการทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนต้องการ

1.6 ประโยชน์และคุณค่าของการวิจัย

1.นักเรียนมีการพัฒนาด้านการอ่านหนังสือส่งเสริมประสบการณ์วิชาภาษาไทย ที่จะช่วยพัฒนาทักษะการอ่านหนังสือของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6

2.ได้แนวทางในการฝึกให้นักเรียนมีความรับผิดชอบกระตือรือร้นและมีนิสัยรักการอ่านมากขึ้น

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ความหมายของการอ่าน ปัจจุบันได้มีการศึกษาเกี่ยวกับการอ่านอย่างกว้างขวางมากและมีการกล่าวถึงความหมายของการอ่านในลักษณะต่างๆดังนี้ โดยทางแบทเลอร์และเคลย์ได้กล่าวว่าการอ่านคือการถ่ายทอดความหมายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยอาศัยภาษาเป็นสื่อ โดยผู้เขียนถ่ายทอดความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจตามความคิดและเจตนาของผู้เขียน ซึ่งการอ่านนี้เป็นกระบวนการเรียนรู้เช่นเดียวกับการพูด การออกเสียงเป็นคำๆ หรือหลายคำ ซึ่งรวมกันเข้าเป็นประโยคที่มีความหมายเมื่อเราอ่านนั้น มิได้จำกัดแต่การอ่านเพียงอย่างเดียว แต่การพูดเป็นรากฐานของการอ่าน ก็เริ่มด้วยวิธีนี้เช่นกัน

( นิตยา ประพฤติกิจ.2562.2 )

ศรีรัตน์ เจิงกลิ่นจันทร์ ( 2564.2 ) กล่าวว่า การอ่านเป็นการแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนำความคิดนั้นไปใช้ประโยชน์ ตัวอักษรเป็นเครื่องหมายแทนคำพูด เพราะฉะนั้นหัวใจของการอ่านจึงอยู่ที่การเข้าใจความหมายของคำ

สรุปได้ว่า การอ่านคือ การรับการถ่ายทอดความหมายจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งโดยใช้ ตัวอักษรเป็นสื่อความคิดและเจตนาของผู้เขียน หรือการทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนต้องการ

ความหมายของภาษาพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน(2561:616)ระบุไว้ว่า “ ภาษา หมายถึง เสียงหรือกิริยาอาการซึ่งทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้” พระยาอนุมารราชธน (2510:10) อธิบายว่า “ภาษากล่าวอย่างกว้างคือ วิธีทำความเข้าใจระหว่างคนกับคน วิธีการทำความเข้าใจย่อมทำได้หลายวิธีแล้วแต่ความสามารถทำความเข้าใจกันและกันได้” จะเห็นว่าตามทัศนะของพระยาอนุมารราชธนนั้น ถือว่าทุกสิ่งที่สามารถทำความเข้าใจกันได้ ล้วนแต่เป็นภาษาทั้งสิ้น เช่น การอธิบายด้วยถ้อยคำ การสาธิตด้วยภาพ การพยักหน้า สั่นศีรษะ ฯลฯ ประพจน์ อัศววิรุฬหการ (2560:77) กล่าวถึงภาษาไว้ว่า เป็นความสามารถในการสื่อสารที่มีอยู่ในสมองหรือในจิตใจของมนุษย์ ในส่วนที่แสดงออกมาเป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ก็คือ คำพูด เป็นภาษาที่สัมผัสได้โดยใช้โสตประสาท หรืออาจเป็นเครื่องหมายต่างๆที่สัมผัสได้โดยจักษุประสาท หรือ อาจจะเป็นเครื่องหมายที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส เช่น ภาษาของคนตาบอด

สรุปได้ว่า ภาษาหมายถึง การสื่อความหมายของคนโดยใช้เสียงหรือสัญลักษณ์ตลอดจนกิริยาท่าทางที่เกิดจากสมองหรือจิตใจของมนุษย์ทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันภาษาเป็นระบบการสื่อสารที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์กลุ่มชนที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นสังคมย่อมมีภาษาใช้ในการติดต่อบอกความประสงค์ ความรู้สึกนึกคิด ถ่ายทอดประสบการณ์ และความรู่แก่กัน ( พิรุธ -โสภวงค์.2564:93 )

นักทฤษฎีพัฒนาการได้ศึกษาความสำคัญของภาษาที่ว่า เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสังคมและสติปัญญาของเด็กปฐมวัย ดวงเดือน ศาสตรภัทร ( 2560:214 ) ได้กล่าวว่าภาษามีความสำคัญอยู่ 3 ประการ

ความสำคัญและประโยชน์ของการอ่านการอ่านเป็นการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ทำให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้เกิดทักษะต่างๆตลอดจนความก้าวหน้าทางวิชาชีพเกิดความคิดสร้างสรรค์ความเพลิดเพลินรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ทำให้มนุษย์ทันต่อเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆของโลก สามารถแก้ปัญหาทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และปัญหาส่วนตัวได้ ( กานต์มณี ศักดิ์เจริญ.2562:332 ) การอ่านเป็นทักษะที่ต้องฝึกเช่นเดียวกับทักษะอื่นๆเด็กมีทักษะในการอ่านไวมีสมาธิในการอ่านต่อเนื่องจับประเด็นความได้ชัดเจนมีอารมณ์และจินตนาการร่วมอยู่ด้วยทำให้เกิดความชำนาญในการรับรู้ทางด้านการคิดเป็นการสรุปการตอบโต้ทำให้เกิดความคิดเป็นระบบและการรับรู้เป็นระบบการแสดงออกและการสื่อสารต่อผู้อื่นต่อโลกภายนอกก็ชัดเจนเป็นระบบซึ่งอนุภาพของการอ่านหนังสือจะนำเด็กไปสู่เส้นทางของการเป็นคนฉลาด

ปัจจัยส่งเสริมการอ่าน

สมิธและจอห์นสัน ได้อธิบายถึงองค์ประกอบต่างๆ ที่มีต่อการส่งเสริมและพัฒนาการด้านการอ่านของนักเรียนไว้ต่อดังนี้ ระดับสติปัญญา การอ่านเป็นงานประเภทหนึ่งที่เด็กต้องพัฒนาให้เกิดความสำเร็จ การพัฒนาด้านการอ่านนี้ พบว่า เด็กบางคนทำได้ดีกว่าเด็กบางคนทั้งนี้เนื่องจากสติปัญญานั่นเอง ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะและความพร้อม การเริ่มต้นสอนอ่าน ต้องคำนึงถึงความพร้อม ความสารมารถของเด็กควบคู่ไปด้วย เพราะการอ่านต้องใช้ทักษะต่างๆที่เป็นทักษะย่อยประกอบกัน

บันลือ พฤกษะวัน ( 2564:134-135 ) ได้กล่าวว่า ความรับผิดชอบในหน้าที่ของครูเกี่ยวกับการสอนการอ่านนั้นหาสิ้นสุดลงที่การสอนให้นักเรียนอ่านหนังสือได้เท่านั้น หน้าที่อีกส่วนหนึ่งก็คือ การส่งเสริมให้เด็กอ่านหนังสือตามลังได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมทักษะทางภาษา ความสนใจ นิสัยรักการอ่าน ครูมีวิธีการส่งเสริมการอ่านของเด็ก การจัดสภาพแวดล้อมในการอ่าน ให้มีหนังสือดีๆ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดสำหรับการอ่าน ครูและเด็ก ควรแสดงหนังสือต่างๆที่จะให้เด็กทราบและสนใจติดตามว่าหนังสือดี หนังสือใหม่ที่น่าสนใจสำหรับเด็ก

การจัดมุมหนังสือสำหรับเด็ก มุมหนังสือควรมีความสว่างเพียงพอและเป็นส่วนตัว ควรอยู่ห่างจากมุมที่มีการเคลื่อนไหวมากๆ จัดให้มีการเพิ่มวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่ โต๊ะหรือชั้นวางหนังสือ เก้าอี้สำหรับเด็ก พรม หรือ เบาะรองนั่ง ป้ายนิทรรศการที่เกี่ยวกับหนังสือหรือภาพที่ต้องการแนะนำให้เด็กรู้จัก

ครอบครัวที่มีบุตรน้อยมักได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดีกว่าครอบครัวที่มีบุตรมาก การที่ตอบสนองความต้องการของเด็กแต่ละคนอาจจะไม่ทัดเทียมกันหรือไม่เพียงพอเท่าทีควร การปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อหนังสืออาจมีโอกาสน้อยลงด้วย เช่น พ่อแม่ไม่มีเวลาแนะนำหนังสือหรือจัดหาหนังสือดีๆมาให้ลูกอ่านได้เพราะมัวทำมาหากิน หรือจัดหามาได้แล้วต้องมีการแบ่งปันกัน รับช่วงกันในระหว่างลูกทำให้เด็กมีโอกาสจับต้องหรือเป็นเจ้าของน้อยลง ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็มีส่วนสนับสนุนเจตคติที่ดีต่อหนังสือได้ กล่าวคือ ถ้าครอบครัวมีความสัมพันธ์ ความรัก ความเข้าใจ ความโอบอ้อมอารี ตลอดจนรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง เด็กในครอบครัวก็จะได้รับความอบอุ่น กำลังใจ รู้จักการแบ่งเวลา มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ง่ายต่อการพัฒนาปลูกฝังเจตคติที่ดีงามในเรื่องต่างๆ เช่น การพูด การปรับตัว การอ่าน การเลือกหาหนังสือ การเก็บรักษา

ตลอดจนการแก้ปัญหา และช่วยพัฒนาการอ่าน เศรษฐกิจของครอบครัว มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจตคติของเด็กต่อหนังสืออย่างเห็นได้ชัดกล่าวคือครอบครัวที่มีฐานะดีพอจะจัดหาหนังสือที่มีคุณค่าให้เด็กได้อ่านมากกว่าครอบครัวที่ขัดสน เจตคติ ค่านิยม และจุดมุ่งหมายของครอบครัวมีส่วนเสริมสร้างเจตคติของเด็กต่อหนังสือกล่าวคือ ถ้าครอบครัวใดมีเจตคติและค่านิยมที่ดีต่อหนังสือก็มักพยายามหาวิธีปลูกฝังเจตคติดังกล่าวให้แก่เด็กไม่ว่าเป็นการจัดหาหนังสือ แนะนำให้อ่าน แก้ไขข้อบกพร่องในการอ่าน

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย

3.1 ประชากร / กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา

นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 ในภาคเรียนที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2566 จำนวน 15 คน โรงเรียนหนองไผ่

3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

3.2.1 หนังสือส่งเสรมการอ่านภาษาไทย

3.2.2 แบบประเมินหนังสือส่งเสริมการอ่านเรื่อง ภาษาไทยสำหรับนักเรียน

3.3 วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล

การจัดหาหนังสือส่งเสริมการอ่านเรื่อง และวิธีการดำเนินศึกษาค้นคว้าการศึกษาค้นคว้านี้เป็นการจัดหาหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 ได้แบ่งวิธีดำเนินการตามลำดับดังนี้

3.3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

3.3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง

3.3.3 วิธีการสร้างเครื่องมือ

3.3.4 การดำเนินการทดลอง

3.3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล

3.3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

3.4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้จัดทำได้ดำเนินการสร้างแบบประเมินหนังสือส่งเสริมการอ่านดังนี้

3.4.1 ศึกษาแบบประเมินหนังสือส่งเสริมการอ่าน

3.4.2 การสร้างแบบประเมินหนังสือส่งเสริมการอ่าน

3.4.3 การสร้างแบบประเมินความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการสอนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านในการสร้างแบบประเมินความคิดเห็นของนักเรียนต่อการสอนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ผู้จัดทำได้ลำดับการสร้างตามขั้นตอนต่อไปนี้

3.4.3.1 ศึกษาแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนของ Likert

3.4.3.2 การสร้างแบบประเมินความคิดเห็นของนักเรียนมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมารค่าตามวิธีการของ Likert ซึ่งมี 5 ระดับ คือ เหมาะสมมากที่สุด เหมาะสมมาก เหมาะสม ปานกลาง เหมาะสมน้อย เหมาะสมน้อยที่สุด

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

ผลการวิจัย

ผู้จัดทำได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลดังต่อไปนี้

4.1 หาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่หาค่าเฉลี่ย x ของคะแนนที่ได้จากการตรวจแบบฝึกหัด

4.2 วิเคราะห์ความคิดเห็นของนักเรียน

การเสนอการวิเคราะห์ข้อมูลในการสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 ของโรงเรียนหนองไผ่

ผลการประเมินความคิดเห็นของนักเรียนในการจัดหาหนังสือส่งเสริมการอ่าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6

ผลการประเมินความคิดเห็นของนักเรียนในการจัดหาหนังสือส่งเสริมการอ่าน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 ด้านเนื้อหา การดำเนินเรื่อง (ดังตาราง 1)

ผลการหาประสิทธิภาพหนังสือส่งเสริมการอ่านสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6

โรงเรียนหนองไผ่

การหาประสิทธิภาพหนังสือส่งเสริมการอ่านสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3/6 โรงเรียนหนองไผ่ ขั้นที่ 1 (ดังตาราง 2)

4.3 การหาประสิทธิภาพหนังสือส่งเสริมการอ่านสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6

โรงเรียนหนองไผ่ ขั้นที่ 2 (ดังตาราง 3)

6. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

6.1 ผลการประเมินความคิดเห็นของนักเรียนในการจัดหาหนังสือส่งเสริมการอ่านสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 โรงเรียนหนองไผ่

ตาราง 1 ผลการประเมินความคิดเห็นของนักเรียนในการจัดหาหนังสือส่งเสริมการอ่านสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 โรงเรียนหนองไผ่

โดยรวมอยู่ในระดับดี (X = 4.20) โดยทำการประเมินในเรื่อง ขนาด รูปเล่ม ตัวอักษรเหมาะสม สะดวกต่อการนำไปใช้ อยู่ในระดับเหมาะสมมาก (x = 4.5) รูปภาพเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง อยู่ในระดับเหมาะสมมาก(x = 4.7) เนื้อเรื่องสนุกชวนคิดตาม อยู่ในระดับเหมาะสมมาก (x = 4) เนื้อหาไม่ยากและไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย อยู่ในระดับเหมาะสมมาก (x = 4.9)

ช่วยให้เกิดความกระตือรือร้น และรักการอ่านมากขึ้น อยู่ในระดับเหมาะสมมาก (x = 3.9)

นักเรียนได้รับประโยชน์จากเรื่องที่อ่าน อยู่ในระดับเหมาะสมมาก (x = 4.8)

นักเรียนสนุกสนานเพลิดเพลินกับเรื่องที่อ่าน อยู่ในระดับเหมาะสมมาก (x = 3.5)

นักเรียนอ่านแล้วจับใจความไม่ได้ อยู่ในระดับเหมาะสมน้อย (x = 3.8)

เล่าเรื่องที่อ่านได้อย่างมั่นใจ อยู่ในระดับเหมาะสมปานกลาง (x = 3.3)

นำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปประยุกต์ใช้กับตนเอง (x = 4.2)

2. ผลการหาประสิทธิภาพหนังสือส่งเสริมการอ่าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6

ขั้นที่ 1 ใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 15 คน เพื่อตรวจสอบหาข้อบกพร่องของหนังสือส่งเสริมการอ่าน ในด้านต่างๆโดยการสังเกตและสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง ทั้ง 15 คน หลังจากให้กลุ่มตัวอย่างทดลองใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ข้อบกพร่องและข้อคิดเห็นในการวาดรูปให้สวยงามเรื่องอ่านเข้าใจง่ายดี

ตารางที่ 2 ข้อบกพร่องและแนวทางแก้ไข ในการหาประสิทธิภาพหนังสือส่งเสริมการอ่าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา 3/6 ขั้นที่ 1 โรงเรียนหนองไผ่

ข้อบกพร่องและความคิดเห็น แนวทางการแก้ไข

1. รูปภาพประกอบน้อย 1. จัดให้มีรูปภาพประกอบที่น่าสนใจ

2. คำบางคำความหมายซับซ้อน 2. สอดแทรกการแปลความหมายในคำยาก

3. เนื้อเรื่องไม่น่าสนใจ 3. ให้มีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจมากขึ้น

บทที่5 สรุปผล การอภิปราย และข้อเสนอแนะ

5.1 สรุปผลการวิจัย

จากการศึกษาและวิเคราะห์การประเมินความคิดเห็นในการสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่านสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 โรงเรียนหนองไผ่ แสดงให้เห็นว่า โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก โดยระดับคะแนนเฉลี่ย (x) ได้ 4.20 และผลการหาประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่าน หลังจากนักเรียนได้ทำแบบฝึกหัดท้ายบท โดยเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 84.67 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 64.23

5.2 อภิปรายผล

จาการศึกษาพบว่าหนังสือส่งเสริมการอ่าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 ที่ผู้จัดทำได้ทำขึ้นนี้ สามารถช่วยพัฒนาการอ่านและช่วยเสริมสร้างทักษะและนิสัยรักการอ่าน นักเรียนได้รับประโยชน์ สนุกสนานเพลิดเพลิน อ่านจับใจความได้ และเล่าเรื่องที่อ่านได้อย่างมั่นใจ รวมทั้งยังนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปประยุกต์ใช้กับตัวนักเรียน โดยดูไดจากผลการประเมินความคิดเห็นของนักเรียนในการจัดหาหนังสือส่งเสริมการอ่าน และมีการวิเคราะห์ผลการทำแบบฝึกหัดท้ายบท พบว่าโดยรวมนักเรียนสามารถทำแบบฝึกหัดได้โดยมีคะแนนเฉลี่ย 64.23คะแนน จาก คะแนนเต็ม 70 คะแนน

จะเห็นได้ว่าจากการที่นักเรียนได้มีโอกาสอ่านเรื่อง ช่วยให้นักเรียนมีการพัฒนาการอ่านและส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน

5.3 ข้อเสนอแนะ

5.3.1 ในการจัดหาหนังสือส่งเสริมการอ่านอาจจะใช้เนื้อหาหลายเรื่องที่มากกว่าเรื่องเดียวโดยอาจจะหาเรื่องอื่นๆมาเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยพัฒนาทักษะการอ่านภาษาไทยให้ได้ผลดีที่สุด

5.3.2 ในการวิจัยครั้งต่อไปอาจลดปริมาณของกลุ่มตัวอย่างลง อาจเจาะจงทำการวิจัยกลุ่มนักเรียนที่ขาดทักษะในการอ่าน เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือและแก้ไขต่อไป

บรรณานุกรม

ณรงค์ มั่นเศรษฐวิทย์. ภาษากับการพัฒนาความคิด.กทม.สนพ.โอเดียนสโตร์,2564

ทิศนา แขมมณีและคณะ.วิทยาการด้านการคิด.กทม.บริษัทเดอมาสเตอร์กรุ๊ปแมนเนจเม้นท์จำกัด,2564

เนชั่น กรุ๊ป.คู่มือการจัดกิจกรรมการอ่านเชิงวิเคราะห์กทม.,มูลนิธิปูนซีเมนต์ไทยจำกัด(มหาชน) มปพ.

วิชัย วงษ์ใหญ่.พลังการเรียนรู้:ในกระบวนการทัศน์ใหม่.นนทบุรี: SR printing limited Partnership,2562

ล้วน สายยศและอังคนา สายยศ.หลักการวิจัยทางการศึกษา.กทม; ศึกษาพร.2562

โพสต์โดย โป้ง : [17 พ.ค. 2567 (10:00 น.)]
อ่าน [1478] ไอพี : 183.88.216.117
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 58,678 ครั้ง
เกณฑ์คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
เกณฑ์คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561

เปิดอ่าน 8,473 ครั้ง
กรมอนามัย แนะ 10 วิธี ช่วยผู้สูงอายุนอนหลับดี เสริมสร้างสุขภาพที่ดี
กรมอนามัย แนะ 10 วิธี ช่วยผู้สูงอายุนอนหลับดี เสริมสร้างสุขภาพที่ดี

เปิดอ่าน 24,208 ครั้ง
บัญชีเงินเดือนใหม่ ต.ค.50
บัญชีเงินเดือนใหม่ ต.ค.50

เปิดอ่าน 19,912 ครั้ง
เกร็ดน่ารู้ของกาแฟ ... ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
เกร็ดน่ารู้ของกาแฟ ... ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เปิดอ่าน 40,318 ครั้ง
อาจารย์หม่า ปรมาจารย์ฮวงจุ้ย แนะวิธีเสริมฮวงจุ้ย แก้ปีชง (ชม Clip)
อาจารย์หม่า ปรมาจารย์ฮวงจุ้ย แนะวิธีเสริมฮวงจุ้ย แก้ปีชง (ชม Clip)

เปิดอ่าน 9,520 ครั้ง
ดื่มชาดำหรือเขียวประจำวันละ3ถ้วย ปัดเป่าอัมพาตไกลร้อยละ21
ดื่มชาดำหรือเขียวประจำวันละ3ถ้วย ปัดเป่าอัมพาตไกลร้อยละ21

เปิดอ่าน 17,243 ครั้ง
สุดยอดโปรแกรมตรวจสอบสเปคคอมพิวเตอร์ ปี 2012
สุดยอดโปรแกรมตรวจสอบสเปคคอมพิวเตอร์ ปี 2012

เปิดอ่าน 23,601 ครั้ง
แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579
แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579

เปิดอ่าน 325,834 ครั้ง
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์

เปิดอ่าน 10,560 ครั้ง
จะจำใบหน้าของใครให้ได้แม่นยำ ต้องจ้องคอยดูที่ลูกตา
จะจำใบหน้าของใครให้ได้แม่นยำ ต้องจ้องคอยดูที่ลูกตา

เปิดอ่าน 15,144 ครั้ง
ปรุง...ต้านมะเร็ง ด้วยเมนูโฮมเมด
ปรุง...ต้านมะเร็ง ด้วยเมนูโฮมเมด

เปิดอ่าน 1,530 ครั้ง
สอบถามรายละเอียดประกันรถให้ชัวร์ ประกันแต่ละชั้นต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับคุณ
สอบถามรายละเอียดประกันรถให้ชัวร์ ประกันแต่ละชั้นต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับคุณ

เปิดอ่าน 26,418 ครั้ง
The 90/90 Standard
The 90/90 Standard

เปิดอ่าน 49,475 ครั้ง
สักวา
สักวา

เปิดอ่าน 13,170 ครั้ง
"พี่เป้า-สายัณห์ สัญญา" สร้างปาฏิหาริย์ช่วยหญิงเป็นมะเร็งฟื้นคืนชีพ
"พี่เป้า-สายัณห์ สัญญา" สร้างปาฏิหาริย์ช่วยหญิงเป็นมะเร็งฟื้นคืนชีพ

เปิดอ่าน 11,396 ครั้ง
แชร์สนั่น!คลิปสาวนักพากย์คนใหม่
แชร์สนั่น!คลิปสาวนักพากย์คนใหม่
เปิดอ่าน 44,682 ครั้ง
Chat GPT คืออะไร ใช้งานยังไง AI  สำหรับครูยุคใหม่จำเป็นต้องรู้
Chat GPT คืออะไร ใช้งานยังไง AI สำหรับครูยุคใหม่จำเป็นต้องรู้
เปิดอ่าน 10,028 ครั้ง
ไอ้หยา!ด.ญ.ร้องพิธีเปิดโอลิมปิกก็ลวง
ไอ้หยา!ด.ญ.ร้องพิธีเปิดโอลิมปิกก็ลวง
เปิดอ่าน 14,064 ครั้ง
ปลูกฝังทักษะสมองอย่างไรให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอนาคต
ปลูกฝังทักษะสมองอย่างไรให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอนาคต
เปิดอ่าน 19,248 ครั้ง
สีเสียด
สีเสียด

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ