รายละเอียดการนำเสนอ
1. สภาพปัจจุบัน/ปัญหา
1.1 สภาพปัจจุบัน/ปัญหา
การศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญกระบวนการหนึ่ง ที่จะช่วยพัฒนาคนให้มีคุณภาพเพราะการศึกษา เป็นกระบวนการเรียนรู้ เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม การถ่ายทอดความรู้ ฝึกอบรมสืบสานทาง วัฒนธรรมและสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคมการเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคล เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การศึกษาที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำวิชาความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงและสามารถ พึ่งพาตนเองได้นั้น ต้องเป็นการศึกษา ที่มีคุณภาพที่มีอยู่ในตัวคนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ทำให้เป็นคนที่รู้จักคิด วิเคราะห์ รู้จักแก้ปัญหา มีความริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีจริยธรรม คุณธรรมและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ได้อย่างมีความสุข ฉะนั้นหลักการ ศึกษาจึงต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้เรียนในสังคมไทยได้ตระหนักถึงคุณค่าของการศึกษาตลอดการ จัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้แก่ปวงชนทุกคนจึงเป็นภารกิจหลักของรัฐบาลในทุกประเทศ สำหรับประเทศไทยนั้น ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 เป็นกฎหมายการศึกษาแห่งชาติหรือเป็นกฎหมายแม่บทในการจัดการศึกษาของประเทศได้กำหนด ความมุ่งหมายและหลักการในการจัดการศึกษาในมาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็น มนุษย์ ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมมีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เป็นการมุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในด้านต่างๆ ของ การศึกษา คือ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมมีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
(กระทรวงศึกษาธิการ. 2553) เด็กในวัยนี้จะเรียนรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสการรับรู้ และการเคลื่อนไหว และเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาในการจัดการเรียนรู้ให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสให้มาก ที่สุด เพราะจะช่วยกระตุ้นให้เด็กได้คิดและได้ลงมือปฏิบัติจริง
ฉันทนา ภาคบงกช (2552 : 95) ได้กล่าวไว้ว่า ครูผู้สอนจะต้องเข้าใจหลักสูตรการพัฒนาเด็กปฐมวัย และการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ดูแลเด็กอย่างระมัดระวังโดยคำนึงถึงผลในระยะยาว ซึ่งผลการวิจัยทางสมองกับการพัฒนาด้านสติปัญญา พบว่า การวิจัยทางสมองช่วย สนับสนุนแนวคิดและหลักการทางการศึกษาปฐมวัยได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมและสังคม สมองจะพัฒนาได้ดีเมื่อเด็กได้ลงมือเล่น กระทำด้วยตนเอง (Active Learning) เด็กจะพัฒนา ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy) ทำให้เกิดแรงจูงใจภายใน (Internal Motivation)ได้ตัดสินใจ เด็กจะเกิดความ ประทับใจจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจอันเป็นจุดเริ่มของการสร้างสรรค์ที่ถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติที่สุดการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมีมาตรฐานและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและมีความรอบรู้อย่างเท่าทันให้มีความ พร้อมทั้ง ด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่สังคม ฐานความรู้ ได้อย่างมั่นคง
ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2560 เป็นการพัฒนาเด็กแรก เกิด 6 ปีบริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวม บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ ที่สนองต่อ ธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคน ให้เต็มศักยภาพภายใต้บริบทสังคม -วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทรและเข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็ก พัฒนาไปสู่ความเป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์เกิดคุณค่า ต่อตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้การศึกษาปฐมวัยที่ผ่านมาของเด็กโรงเรียนวิทยสัมพันธ์ พบว่า ผลการ จัดการศึกษาตามมาตรฐานจากการประเมินพัฒนาการนักเรียนระดับการศึกษาปฐมวัยที่ไม่บรรลุเป้าหมาย คุณภาพยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ในด้านครูควรจัดกิจกรรมให้หลากหลาย ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการสังเกต การจำแนก ประเภท การลงความเห็น และทักษะ การสื่อความหมาย และควรใช้คำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ การคิดวิเคราะห์ ในรูปแบบต่าง ๆที่หลากหลาย ให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง นักเรียนชั้นอนุบาลยังขาดความพร้อม ขาดประสบการณ์พื้นฐานด้านทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เนื่องมาจาก นักเรียนชั้นอนุบาลยังขาดความพร้อม ขาดประสบการณ์พื้นฐานในด้านทักษะการปฏิบัติจริง ขาดความเชื่อมั่นและ ขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าแสดงออกทำให้การเรียนการสอนไม่ประสบความสำเร็จ ประกอบกับการเรียนการ สอนในชั้นเรียนมีปัญหาด้านตัวครูผู้สอนขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดสื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สื่อที่มียังน้อย และไม่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ ทำให้ไม่กระตุ้นหรือเร้าความสนใจของเด็ก จึงไม่เกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ และรูปแบบการสอนไม่เหมาะสม เทคนิควิธีสอนไม่สอดคล้องกับหลักสูตรการจัดการเรียน การสอนเน้นครูเป็นศูนย์กลาง เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมน้อยและครูไม่ใช้สื่อในการจัดการเรียนรู้ดังนั้น ครูควรจัด ประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดแบบต่างๆ ให้เหมาะสมกับวัยเด็กอนุบาลปีที่2 เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ของนักเรียนในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและเรียนรู้ในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป
1.2 แนวทางการแก้ปัญหา
ใช้กิจกรรมการโดยการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 ปีการศึกษา 2566
1.3 กำหนดจุดประสงค์และเป้าหมาย
1.3.1 วัตถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนาการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ชั้น
อนุบาลปีที่ 2 ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การสังเกต การจำแนกประเภท การลงความเห็น และการสื่อความหมาย
2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 เป้าหมาย นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 29 คน
1.3.2 เป้าหมาย
นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 29 คน
2.ขั้นตอนการดำเนินงาน
2.1 การดำเนินงาน
2.1.1จัดกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์และจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2
2.1.2จัดทำใบงานสรุปผลการทดลองของแต่ละกิจกรรมให้นักเรียนได้สรุปผลการทดลองด้วยการวาดรูปกิจกรรมกลังทดลองเสร็จ และออกมานำเสนอผลงานของตนเอง
2.1.3จัดทำแบบประเมินความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับประเมินความสามารถ ด้านทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยทักษะการ สังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลงความเห็น และทักษะการสื่อความหมาย โดยใช้เนื้อหาตามหลักสูตร การศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช จำนวน 4 ชุด ดังนี้
ชุดที่ 1 ทักษะการสังเกต
ชุดที่ 2 ทักษะการการจำแนกประเภท
ชุดที่ 3 ทักษะการลงความเห็น
ชุดที่ 4 ทักษะการสื่อความหมาย
2.1.4 แบบสังเกตพฤติกรรมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีลักษณะเป็นแบบสังเกตพฤติกรรมใช้ประกอบการจัดกิจกรรมแต่ละแผนการจัดประสบการณ์
2.2 วิธีการปฏิบัติ
2.2.1 การสร้างและการพัฒนาเครื่องมือ
1.วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้เด็กปฐมวัย และกำหนดหน่วยการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์ การเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้
2. วางแผนการจัดทำกำหนดการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่เน้นทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลง ความเห็นและทักษะการสื่อความหมาย
3. เขียนกิจกรรมการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่เน้นทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลงความเห็น ทักษะการสื่อความหมาย จัดกิจกรรมตามที่วางแผนไว้
2.2.2 รูปแบบการพัฒนา
ดำเนินการพัฒนาการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 29 คน ดังนี้
1.ดำเนินการทดลองการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 เป็นกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 29 คน มีขั้นตอนทดลองและเก็บ รวบรวมข้อมูลตามลำดับ ดังนี้
2.ประเมินความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียน(Pre-test) เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยใช้แบบประเมินความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัย ที่ครูสร้างขึ้น
3.ทดลองการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์กับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยการจัด ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ โดยมีวิธีการดังนี้
1.การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้แผนการประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์
2. ประเมินผลระหว่างเรียน โดยวิธีการประเมินความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยการประเมินความสามารถในด้านทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลง ความเห็น ทักษะการสื่อความหมาย ของนักเรียนรายคน หลังการจัดประสบการณ์ระหว่างเรียนรู้จบแต่ละหน่วย
3. หลังดำเนินการจัดประสบการณ์ครบทุกหน่วย ทุกแผนแล้ว ทำการประเมินความสามารถ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียน (Post-test) กับเด็กชั้นชั้นอนุบาลปีที่ 2 ด้วยแบบประเมิน ความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย
4.นำผลคะแนนที่ได้ไปทำการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาค่าทางสถิติต่อไป
2.3 แผนการดำเนินงาน/ระยะเวลาในการดำเนินงาน
ดำเนินการจัดกิจกรรมกับเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
2.4 การใช้ทรัพยากร
งบประมาณในการดำเนินงาน 1,000 บาท
2.5 การมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
2.5.1 ผู้บริหารมีการจัดการประชุมในการจัดทำนวัตกรรมในการเรียนการสอนและส่งเสริมให้ครูมีนวัตกรรมในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน
2.5.2 คณะครูมีการประชุม ปรึกษาหารือ ในการจัดทำนวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้และ
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
2.5.3 ครูผู้สอนดำเนินการจัดกิจกรรมโดยการใช้นวัตกรรมที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
2.5.4 นักเรียนให้ความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยสื่อการสอน
3. ผลสำเร็จที่ได้รับ
จากผลการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ได้แก่ ทักษะการสังเกต ทักษะ การจำแนกประเภท ทักษะการลงความเห็น และทักษะการสื่อความหมายโดยการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่สร้างขึ้น พบประเด็นที่สามารถ นำมาอภิปรายได้ดังนี้
1. กิจกรรมการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่ครูสร้างขึ้นเป็นการจัด ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย ที่ผ่านกระบวนการพิจารณาตรวจสอบและประเมินความสอดคล้อง ความถูกต้องเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญในด้านหลักสูตรการ จัดประสบการณ์เด็กปฐมวัย และได้มีการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไป ตามหลักวิชาการ ก่อนนำไปใช้ นอกจากนี้ในการออกแบบการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ครูมีบทบาทในการ จัดหาวัสดุอุปกรณ์ การใช้คำถามเชื่อมโยงให้เด็กเกิดทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลง ความเห็น และทักษะการสื่อความหมาย โดยผู้สอนได้ใช้กระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นเด็กเป็นสำคัญ มี การใช้สื่อที่เป็นของจริง เด็กได้รับประสบการณ์ตรงผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า มีการจำแนก แยกแยะ เปรียบเทียบ ความเหมือนความต่าง การตั้งคำถามเชิงวิทยาศาสตร์อย่างง่าย ๆ การค้นหาตำตอบด้วยตนเอง ด้วยการสังเกต สำรวจ สืบค้น ทดลองและตอบคำถามที่ตั้งขึ้นและนำผลจากการสังเกต สำรวจ สืบค้น ทดลองมาอธิบายประกอบ เหตุผลแล้วนำเสนอข้อมูลที่ได้ให้ผู้อื่นเข้าใจอย่างชัดเจนถูกต้องโดยใช้วิธีต่างๆที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม ดังนี้
1) ขั้นนำ เป็นการนำเข้าสู่กิจกรรมโดยเด็กและครูสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมที่ จะทำการทดลองวิทยาศาสตร์ให้เด็กได้สำรวจวัสดุอุปกรณ์ ร่วมกันตั้งคำถามเชิงวิทยาศาสตร์อย่างง่าย ๆ
2) ขั้น ดำเนินกิจกรรม เป็นขั้นที่เด็กร่วมกันวางแผนการทดลองแล้วลงมือปฏิบัติการทดลองด้วยตนเอง เพื่อค้นหาคำตอบ เด็กได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงระหว่างการทำกิจกรรมเห็นกระบวนการในการทดลองและเห็นผลการทดลองด้วย ตนเอง โดยครูจะใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้เกิดทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลงความเห็น และทักษะการสื่อความหมายและ
3) ขั้นสรุป เป็นขั้นที่เด็กและครูร่วมกันสรุปผลการทดลอง เพื่อเป็นการตอบคำถาม ในสิ่งที่สงสัย ให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นพร้อมอธิบายเหตุผลที่ได้จากการทดลองและนำเสนอข้อมูลที่ได้ให้เพื่อน และครูได้เข้าใจด้วยวิธีที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถ สอดคล้องกับการวิจัยของ ปราณี ไชยภักดี (2556: บทคัดย่อ)
2. การเปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการจัดประสบการณ์ทาง วิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 สร้างขึ้น พบว่า เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีความสามารถด้านทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้งนี้เป็นเพราะว่า รูปแบบการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กเป็นผู้ลงมือ ปฏิบัติการทดลองด้วยตนเอง เด็กได้สังเกตวัสดุอุปกรณ์ จำแนก บอกรายละเอียด ความเหมือน ความแตกต่างของ วัสดุอุปกรณ์ตามลักษณะ และคุณสมบัติ สังเกตผลที่ได้จากการทดลอง การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์จะเน้นการปฏิบัติ ทดลอง รูปแบบกิจกรรมเนื้อหาสอดคล้องกับวัยและวุฒิภาวะในการเรียนรู้ของเด็ก เป็นการจัด ประสบการณ์ตรงที่เปิดโอกาสให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ สิ่งของ เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสได้ฟัง สังเกต คิดแก้ปัญหา ใช้เหตุผลและฝึกปฏิบัติ ทำให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องที่เรียน ในการจัดประสบการณ์ แต่ละครั้งเด็กสามารถเรียนรู้ได้โดยประสาทสัมผัสทั้งห้าในการเคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และ คิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ในขณะที่เด็กทำการทดลองจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และคิดหาเหตุผลของการ เปลี่ยนแปลงระหว่างการทดลอง ที่เกิดขึ้น สามารถลงความเห็นจากการเรียนรู้ผนวกกับความรู้จาก ประสบการณ์เดิมของเด็ก และร่วมกันสรุปผลการทดลองทุกครั้ง ทำให้เด็กสรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้น สามารถ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันเกิดความรู้ที่คงทน ทำให้มีพัฒนาการทางสติปัญญาหรือความคิด โดยครูจะใช้ คำถามเชื่อมโยงจากกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เด็กได้คิดรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการทำกิจกรรม ทำให้เกิดการคิด วิเคราะห์ใช้เหตุผลและการประเมินค่า กิจกรรมนั้นจะเป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยให้เด็กมีพื้นฐานด้านการสังเกต จำแนก การลงความเห็น การสื่อความหมายและคิดหาเหตุผลข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้จากการทดลอง ทำให้เด็กมีโอกาสฝึก คิดเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กได้กระทำลงไป การฝึกให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาการคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ เผชิญกับสถานการณ์ที่ เป็นปัญหา และสามารถเลือกตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
4. ผลสำเร็จที่ได้รับ
ด้านเด็ก
1. เด็กเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การสังเกต การจำแนกประเภท การลงความเห็น และการสื่อความหมาย
2 .เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การ สังเกต การจำแนกประเภท การลงความเห็น และการสื่อความหมาย
3 .เด็กเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ด้านหน่วยงาน
การร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชน ( ครูและผู้ปกครอง)
5. บทเรียนที่ได้รับ
ผลจากการศึกษาครั้งนี้พบว่า
1. การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นการจัดประสบการณ์ที่เด็กได้ใช้กระบวนการสืบเสาะทาง วิทยาศาสตร์ได้ร่วมกันตั้งคำถามเชิงวิทยาศาสตร์อย่างง่าย ๆ ได้ค้นหาคำตอบด้วยตนเองโดยการสังเกต สำรวจ สืบค้นทดลอง เด็กจะเกิดความสนใจและตื่นเต้น ในขณะที่ทำการทดลองได้เห็นถึงขั้นตอนในการทดลองเห็นการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และทำให้เด็กเกิดความสงสัยในระหว่างการทดลอง ซึ่งครูจะใช้คำถามกระตุ้นเพื่อให้เด็กได้ คิดหาคำตอบและสรุปผลการทดลอง ตามความเข้าใจ
2. การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กหยิบจับ สัมผัส สังเกต วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างอิสระ เพื่อ วิเคราะห์ ความเหมือน ความต่าง ของวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในกิจกรรมวิทยาศาสตร์
3. การจัดเสริมประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กจะได้ลงมือปฏิบัติการทดลองด้วยตนเองทำให้เห็นการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทำการทดลอง ซึ่งครูจะใช้คำถามกระตุ้นเพื่อให้เด็กได้คิด และบอกเหตุผลที่ได้จาก การสังเกต การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามความเข้าใจของตนเอง
4. การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กจะรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสังเกตวัสดุอุปกรณ์ สังเกตการ เปลี่ยนแปลงระหว่างทำการทดลองและสังเกตผลการทดลองแล้วจึงสรุปผลการทดลองตามความเข้าใจของตนอง และนำผลที่ได้จากการทดลองมานำเสนอให้ผู้อื่นเข้าใจ
ข้อสังเกต
1. การเลือกกิจกรรมในการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ควรเป็นกิจกรรมที่ไม่ซับซ้อน และปลอดภัย เด็กสามารถวางแผนการทดลองได้ เป็นกิจกรรมที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
2. ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กทำกิจกรรมอย่างอิสระ เพราะไม่ควรกำหนดเวลา เนื่องจากเด็กยังมีความสนใจ ในกิจกรรมที่ทำอยู่ เด็กจะให้ความสนใจกิจกรรมที่ท้าทายและสังเกตการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นในขณะทำ กิจกรรมได้อย่างชัดเจน
3. สัปดาห์แรกเด็กยังไม่กล้าทำการทดลอง เนื่องจากยังไม่คุ้นเคยกิจกรรมและยังไม่รู้จักวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ถ้าเป็นกิจกรรมที่มีขั้นตอนมาก ควรอยู่ในสัปดาห์หลัง ๆ เพราะเด็กเกิดความชำนาญในการทำกิจกรรมแล้ว
ข้อเสนอแนะ
1. ควรมีการศึกษาถึงผลการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ เช่น ทักษะการ วัด ทักษะการพยากรณ์เป็นต้น
2. ควรมีการศึกษาการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมอื่น เช่น การจัดกิจกรรมแบบสืบเสาะ การจัดกิจกรรมแบบโครงงาน การจัดกิจกรรมแบบวางแผน เป็นต้น
3. ครูควรให้ความช่วยเหลือแนะนำในการปฏิบัติกิจกรรมของเด็ก ที่เหมาะสมกับสภาพความต้องการ
4. การจัดกิจกรรมให้กับเด็ก ควรคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็กและควรส่งเสริมให้เด็กมี ส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรม
5. ครูควรให้เด็กได้คิดและใช้เหตุผลที่หลากหลาย โดยดัดแปลงรูปแบบของกิจกรรม
6. เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมควรนำชุดกิจกรรมไว้ในมุม เพื่อให้เด็กได้ใช้สื่อในการเรียนรู้เพื่อเปิดโอกาสให้ เด็กได้มีการพัฒนาอยู่เสมอ