1.สภาพปัญหา
1.1 สภาพปัญหา/ปัญหา
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคน ทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิด สร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ และคิดวิเคราะห์ รวมทั้งมีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลก สมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge-based Society)ดังนั้น ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์และมีคุณธรรม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 1) กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นกระบวนการไปสู่การสร้างองค์ความรู้โดยผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวจะทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ เกิดการพัฒนาเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์และค่านิยมตาม แนววิทยาศาสตร์โดยครูผู้สอนมีบทบาทในการวางแผนการเรียนรู้ กระตุ้น แนะนำ ช่วยเหลือให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพควรหาวิธีการใหม่ๆ มาใช้เพื่อมุ่งให้นักเรียนสนใจใน บทเรียนมากยิ่งขึ้น สื่อการเรียนการสอนจึงเป็นสื่อที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเรียนการสอน (กรมวิชาการ, 2545 : 4) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการที่ผู้เรียนเป็นผู้คิดลงมือปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยกิจกรรม ที่หลากหลาย ทั้งการทำกิจกรรมภาคสนาม การสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลองในห้องปฏิบัติการ การสืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ การทำโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษา จากแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่น โดยคำนึงถึงวุฒิภาวะประสบการณ์เดิม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมต่างกัน ที่ผู้เรียนได้รับรู้ มาแล้วก่อนเข้าสู่ห้องเรียน การเรียนรู้ของผู้เรียนจะเกิดขึ้นระหว่างที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมโดยตรงในการทำกิจกรรม เหล่านั้น จึงจะมีความสามารถในการสืบเสาะหาความรู้มีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้พัฒนากระบวนการคิดขั้นสูง (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2545 : 216)
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหา การขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าอันเป็นผลจากการเจริญเติบโตและขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการ อุปโภคบริโภคภาคครัวเรือน จากรายงานของสำนักนโยบายและแผนพลังงาน ชี้ว่าตัวเลขพลังงานไฟฟ้า การใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2565 จำนวน 2.8% และประเทศ ไทยนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศร้อยละ 9 ของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศ ซึ่งคิดเป็น 3,387 เมกกะวัตต์ ปัญหาการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า ของไทยนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นและเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที ดังจะเห็นได้จากข่าวการเกิดไฟฟ้าดับในบางช่วงเวลาในภาคใต้ นอกจากนี้ ข้อมูลจากการคาดการณ์ของทบวงพลังงาน โลก (International Energy Agency, 2020) ระบุว่า ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าของประชากรทั่ว โลกในช่วง 20 ปีข้างหน้าจะเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 40 ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน ซึ่งสวนทาง กับปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงได้มีนโยบายรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าและหันมาใช้พลังงานทางเลือก ส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาพลังงานทางเลือก รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ในการบริหารจัดการ พลังงาน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการนับเป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาท สำคัญในการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ พลังงานไฟฟ้าให้แก่เยาวชน โดยกระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการได้ลงนามในบันทึก ข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการที่มีเป้าหมาย เพื่อให้นักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนในสังกัด กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้า โดย ร่วมกันลดใช้พลังงานไฟฟ้า
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญ ของเรื่องพลังงานไฟฟ้าในหลักสูตรแกนการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ พบว่า หลักสูตรได้บรรจุเรื่องพลังงานไว้ในสาระที่ 2 มาตรฐานการเรียนรู้ที่ ว 2.3 โดยหลักสูตรคาดหวังว่านักเรียนจะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดำรงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสาร และพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและ สิ่งแวดล้อม โดยให้นักเรียนเรียนรู้ผ่านกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และนักเรียนสามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน โดยตัวชี้วัด และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กำหนดให้นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น (ประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 2) เรียนรู้แนวคิดเรื่องพลังงานไฟฟ้า โดยให้เข้าใจว่าไฟฟ้าเป็น พลังงาน พลังงานไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนรูปเป็น พลังงานอื่นและพลังงานอื่นสามารถเปลี่ยนกลับ มาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ การผลิตไฟฟ้าจากแหล่ง พลังงานธรรมชาติ ความสำคัญของพลังงานไฟฟ้า วิธีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัย แม้ว่าการอนุรักษ์พลังงงานไฟฟ้าจะเป็น ประเด็นที่มีความสำคัญระดับชาติ แต่ประเทศไทยยังไม่สามารถทำให้นักเรียนมีความรู้และมี จิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าได้ดีเท่าที่ควรนักเรียนระดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างสิ้น เปลืองและไม่มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า
จากข้อมูลงานข้างต้น ผู้จัดทำจึงได้ศึกษาหลักการ เหตุผลและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ จึงได้ดำเนินการการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7E เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้และมี จิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เพื่อให้นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนเกิดความคงทนในการเรียนรู้ และใช้เป็นแนวทางสำหรับครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในการพัฒนาการเรียนรู้ให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
1.2 แนวทางการแก้ปัญหา
ใช้กิจกรรมการลดใช้พลังงานไฟฟ้าในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องพลังงานไฟฟ้าและจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าที่สูงขึ้น
1.3 กำหนดจุดประสงค์และเป้าหมาย
1.3.1 วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนก่อนและหลังเรียน เรื่อง พลังงานไฟฟ้าและจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดน้ำคบ
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้การใช้กิจกรรมการลดใช้พลังงานไฟฟ้าในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์เรื่อง พลังงานไฟฟ้าและจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
1.3.2 เป้าหมาย
1. เป้าหมายเชิงปริมาณ
- นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดน้ำคบ จำนวน 18คน
2. เป้าหมายเชิงคุณภาพ
- นักเรียนมีความรู้ มีทักษะพื้นฐาน สามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พลังงานไฟฟ้าและจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างอย่างเหมาะสม
2.ขั้นตอนการดำเนินงาน
2.1 การออกแบบผลงาน/นวัตกรรม
2.1.1 ขั้นการวางแผน P (Plan)
- ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตร/ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด / เนื้อหารายวิชา
- ศึกษาวิเคราะห์ปัญหานักเรียนรายบุคคล
2.1.2 ขั้นการดำเนินงาน D (Do)
- ออกแบบการจัดการเรียนรู้
- จัดทำกำหนดการสอน/แผนการจัดการเรียนรู้
- จัดทำสื่อ/นวัตกรรมประกอบการเรียนการสอน
- นำสื่อ/นวัตกรรมมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
2.1.3 ขั้นการตรวจสอบประเมินผล C (Check)
- วัดและประเมินผลลการทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน
2.1.4 ขั้นการการพัฒนา / ปรับปรุงแก้ไข A (Act)
- วิเคราะห์ผลการประเมินเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป
2.2 การดำเนินงานตามกิจกรรม
2.2.1 วิเคราะห์ปัญหานักเรียนเป็นรายบุคคล
2.2.2 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้
2.2.3 ให้นักเรียนทำแบบทดสอบเป็นรายบุคคล พร้อมบันทึกคะแนนในการทดสอบนักเรียนเป็นรายบุคคล
2.2.4 ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้
2.2.5 ดำเนินกิจกรรมกิจกรรมการลดใช้พลังงานไฟฟ้า ดังนี้
-กิจกรรมให้ความรู้การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัย กลุ่มเมสเซนเจอร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
-กิจกรรมให้ความรู้การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัย(กิจกรรมหน้าเสาธง)
-กิจกรรมการประกวดคลิปวิดีโอการใช้ไฟฟ้าอย่งประหยัดและปลอดภัย
-การใช้ Application EGAT TOWN และ Application Sensor For All
ในการเรียนการสอน
2.2.6 จัดทำแบบทดสอนหลังเรียน และให้นักเรียนทำแบบทดสอบเป็นรายบุคคล พร้อมบันทึกคะแนนในการทดสอบนักเรียนเป็นรายบุคคล
2.2.7 ดำเนินการเปรียบเทียบคะแนนก่อนสอบและหลังเรียน
2.2.8 นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยวิเคราะห์ค่าความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
2.4 การใช้ทรัพยากร
งบประมาณในการดำเนินงาน - บาท
2.5 การมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
2.5.1 ผู้บริหารมีการจัดการประชุมในการจัดทำนวัตกรรมในการเรียนการสอนและส่งเสริมให้ครูมีนวัตกรรมในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน
2.5.2 คณะครูมีการประชุม ปรึกษาหารือ ในการจัดทำนวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้และ
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
2.5.3 ครูผู้สอนดำเนินการจัดกิจกรรมโดยการใช้นวัตกรรมที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
2.5.4 นักเรียนให้ความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน
3. ผลสำเร็จที่ได้รับ
3.1 ผลสำเร็จที่ได้
1. การใช้กิจกรรมการลดใช้พลังงานไฟฟ้าในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่สูงขึ้น เรื่อง พลังงานไฟฟ้าและจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษา ปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 ก่อนจัดการเรียนการสอนได้ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน ทำให้สามารถสรุปได้ว่า มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 10.47 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 18.20 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน และมีผลต่างคะแนน เฉลี่ยเท่ากับ 7.73 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 38.65 เป็นไปตาม สมมติฐานที่ตั้งไว้
2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวักน้ำคบ จำนวน 18 คน มีความพึงพอใจในการการใช้กิจกรรมการลดใช้พลังงานไฟฟ้าในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่สูงขึ้น เรื่อง พลังงานไฟฟ้าและจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดน้ำคบ ในระดับพึงพอใจมาก
3.2 ประโยชน์ที่ได้รับ
3.2.1 จากการใช้กิจกรรมการลดใช้พลังงานไฟฟ้าในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่สูงขึ้น เรื่อง พลังงานไฟฟ้าและจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยทำให้ผู้สอนได้เข้าใจผู้เรียน ในขณะเดียวกันจะรับทราบผลการสอนของตนเองตามความคิดเห็นของนักเรียน
3.2.2 นำผลมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ต่อไป
3.2.3 เสริมสร้างทัศนคติที่ดีแก่ครู บุคลากร และนักเรียนในการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด
3.2.4 บ้านนักเรียนมีการใช้พลังงานไฟฟ้าลดลง
3.2.5 โรงเรียนวัดน้ำคบมีการให้พลังงานฟ้าลดลง
4. ปัจจัยความสำเร็จ
4.1 สิ่งที่ช่วยให้งานประสบความสำเร็จ
4.1.1 ผู้บริหารให้ความสําคัญและสนับสนุนการดำเนินงาน
4.1. 2 การมีส่วนร่วมของครูที่มีส่วนเกี่ยวข้องและให้คำชี้แนะ แนะนำ
4.1.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
4.1.4 ความพร้อมของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ
4.1.5 นักเรียนให้ความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5. บทเรียนที่ได้รับ
5.1 การระบุข้อมูลที่ได้รับและการนำผลงานไปใช้
5.1.1 การใช้กิจกรรมการลดใช้พลังงานไฟฟ้าในการจัดการเรียนการสอนทำให้นักเรียนมีความใสใจในการเรียน ความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น
5.1.2 การให้นักเรียนใช้ Application EGAT TOWN และ Application Sensor For All เป็นสิ่งที่ใหม่สำหรับครูและนักเรียน จึงทำให้ครูต้องหาความรู้และศึกษาก่อนนำไปใช้ และกิจรรมนี้ยังเป็นกิจกรรมหนึ่งที่เป็นกิจกรรม Active Learning
5.1.3 จากการใช้กิจกรรมการลดใช้พลังงานไฟฟ้า ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพี่มขึ้นและยังเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม