บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ภาษานับว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะภาษาเป็นทั้งมวลประสบการณ์และเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์ ถ้าขาดสื่อสำคัญนี้แล้ว เราคงไม่สามารถรวมกันเป็นสังคมได้ ภาษาจึงเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญที่ทำให้คนเข้าใจกัน ภาษา คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน มนุษย์อาศัยทักษะทั้ง ๔ ประการ สร้างเสริมสติปัญญาและความรู้สึกนึกคิดพัฒนาอาชีพและพัฒนาบุคลิกภาพ รวมทั้งอื่นๆอีกมากให้กับตนเองและสังคมด้วยเหตุผลดังกล่าวภาษาจึงมีบทบาทและความสำคัญสำหรับบุคคลทุกคน
ภาษาอังกฤษนั้นถือได้ว่าเป็นภาษาสากลที่สามารถใช้สื่อสารเป็นภาษากลางได้ในระดับนานาชาติตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันทั้งในชีวิตประจำวัน การศึกษา และบริบทของการทำงาน ในปัจจุบันการสื่อสารกับคนที่อยู่ต่างสถานที่กันทำได้ขึ้นและรวดเร็ว การสื่อสารที่ดีนั้นจะต้องสื่อความได้รู้เรื่อง เข้าใจ และทันท่วงที หากสื่อสารได้ล่าช้าจะทำให้การสื่อสารติดขัด ดังนั้น การสื่อสารที่ประสิทธิภาพจะต้องมีความถูกต้องในการใช้คำศัพท์และไวยากรณ์ รวมไปถึงการสื่อสารที่คล่องแคล่วและลื่นไหล หรืออย่างน้อยมีกลยุทธ์ที่จะทำให้การสื่อสารของเราดำเนินไปได้โดยไม่หยุดชะงัก ดังนั้น การเรียนภาษาจึงต้องเรียนรู้ผ่านการฝึกฝนในด้านความถูกต้องและเพิ่มความคล่องแคล่วรวมทั้งความมั่นในในการใช้ภาษา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างโอกาสในการใช้ภาษาในการสื่อสารให้กับผู้เรียน รู้จักเลือกเครื่องมือสืบค้น นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ การประกอบอาชีพ ตลอดจนนำไปใช้สื่อสารในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างถูกต้อง อันจะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาประเทศต่อไป
จากความสำคัญเบื้องต้น เมื่อนำมาคำนึงในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ผู้สอนจะต้องจัดกิจกรรมที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนใช้ภาษาในการสื่อสารในสถานการณ์ที่หลากหลายทั้งในและนอกห้องเรียน เพื่อให้ผู้เรียนคุ้นเคยและมีความรู้ ทักษะที่จะนำภาษาอังกฤษไปใช้ได้อย่างทันท่วงที เหมาะสมกับกาลเทศะและวัฒนธรรมต่างๆที่มีความหลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักค้นคว้าหาข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน การเรียน และการประกอบอาชีพในอนาคตได้
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป้าหมายของการสอนภาษาอังกฤษ คือการสร้างสมรรถนะในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ แต่ผลลัพธ์ในการจัดการศึกษากลับพบว่านักเรียนสื่อสารผลประเมินคะแนนภาษาอังกฤษของประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักพบว่า ประเทศไทยมีคะแนนการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ในลำดับที่ 89 จาก 100 ประเทศ (คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2563) ซึ่งที่ประชุมของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีข้อสรุปว่าจะต้องเดินหน้ายกระดับภาษาอังกฤษของเด็กไทยอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ ณัชปภา (2561) กล่าวว่า ปัญหาด้านทักษะการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษของเด็กไทยนั้นเกิดจากการสอนภาษาอังกฤษแบบเน้นการท่องจำกฎไวยากรณ์และคำศัพท์มากจนเกินไป โดยขาดการฝึกให้ผู้เรียนได้นำภาษาอังกฤษไปใช้ในการสื่อสาร ตั้งแต่แรกเริ่มไปจนถึงในระดับอุดมศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของอาทิตย์ อินต๊ะแก้ว ซึ่งพบว่า นักศึกษาในระดับอุดมศึกษานั้นเน้นการเรียนภาษาอังกฤษผ่านการวิเคราะห์ไวยากรณ์มากกว่าการนำภาษาอังกฤษไปใช้ในการสื่อสาร รวมไปถึง นักศึกษาไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษด้วยการพูดได้ หรือพูดได้แต่ไม่คล่องแคล่ว ทำให้เกิดความชะงักในการสื่อสาร นักศึกษาขาดความมั่นใจ และมีคลังคำศัพท์ที่ไม่เพียงพอต่อการสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ แม้ว่าจะเรียนรู้การวิเคราะห์ไวยากรณ์และการท่องจำคำศัพท์ นักศึกษากลับไม่สามารถเรียบเรียงคำและประโยคได้ และใช้เวลาค่อนข้างนานในการสื่อสาร อันเนื่องมาจากการขาดการฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารทั้งในและนอกชั้นเรียน ณัชปภา (2561) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ค่านิยมของคนไทยมักจะเน้นการศึกษาเพื่อทำให้ตนเองมีสถานะภาพทางการศึกษาเท่าเที่ยมกับผู้อื่น โดยขาดความคำถึงการพัฒนาคุณภาพและความสามารถที่ตนจะได้รับการศึกษาอย่างแท้จริง โดยในระดับโรงเรียนมักจะมุ่งเน้นไปที่การทำข้อสอบให้ผ่านมากกว่าการเรียนภาษาเพื่อให้สามารถนำไปสื่อสารในชีวิตจริงได้ ซึ่งสอดคล้องกับการรายงานระดับ CEFR ของนักเรียนที่อยู่ในลำดับที่89จาก100ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระดับที่ต่ำ (คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2563)
ดังนั้น การศึกษาและพัฒนาการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นให้ผู้เรียนสื่อสารได้ ในการทำการวิจัยในครั้งนี้ จะมุ่งเน้นไปที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีของ คีธ จอห์นสัน ในการสอนทักษะการฟัง เป็นการสอนทักษะการฟังที่ให้ความสำคัญของข้อมูล กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถจับใจความสำคัญจากการฟัง โดยเริ่มต้นจากการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่งอาจจะจับใจความได้ไม่ครบถ้วน แต่สามารถระบุใจความหลักได้ ไปจนถึงการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้น และเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยการสอนภาษาชนิดนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำทักษะทางภาษามาใช้เพื่อการสื่อสารได้ ผ่านกิจกรรมควรให้ผู้เรียนได้ได้ทำงานเป็นกลุ่มเพื่อให้ปรึกษาหารือกันและช่วยเหลือกันในการทำงาน ตามหลักการถ่ายโอนข้อมูล หลักการของช่องว่างระหว่างข้อมูล หลักการประสานต่อ และหลักการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย
ทั้งนี้ เพื่อให้กิจกรรมที่ใช้ในการสอนทักษะการฟังและจับใจความสำคัญเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง หรือการใช้ภาษาอย่างมีความหมาย ส่วนมากเป็นกิจกรรมกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการปฏิสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. หลักการถ่ายโอนข้อมูล เป็นกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนนำข้อมูลที่ได้รับจากการฟังมาถ่ายทอดต่อผู้อื่นเท่าที่จำได้ โดยไม่จำเป็นต้องจำได้ครบ 2. หลักการของช่องว่างระหว่างข้อมูล เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนเติมข้อมูลสำคัญจากการฟัง และมีการทำงานเป็นกลุ่ม 3. หลักการประสานต่อ เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนนำข้อมูลที่ได้รับจากการฟัง มาถ่ายทอดให้กับเพื่อนร่วมกลุ่ม และนำสารจากเพื่อนร่วมกลุ่มมาเติมเต็มใจความสำคัญจากการฟังให้สมบูรณ์ และ 4. หลักการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย เป็นกิจกรรมที่นักเรียนนำข้อมูลจากการฟังและจับใจความจากสมาชิกแต่ละคน มาสร้างชิ้นงาน
จากแนวคิดและความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเน้นทักษะการฟังและจับใจความตามทฤษฎีของคีธ จอห์นสัน คณะผู้จัดทำมีเป้าหมายที่จะพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีของ คีธ จอห์นสัน ผ่านการสอนทักษะการฟังและจับใจความ โดยมีครูเป็นผู้ชี้แนะและอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะการฟัง และจับใจความ สามารถนำข้อมูลจากการฟังไปใช้ในการสื่อสารเป็นภาษานานาชาติให้ชาวต่างชาติเข้าใจได้
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาทักษะการฟังจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียน เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักเรียนต่อการพัฒนาทักษะการฟังจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าโดยจำแนกตามเพศและประสบการณ์ในการเรียน
สมมติฐานการวิจัย
นักเรียนที่มีเพศและประสบการณ์ในการเรียนภาษาอังกฤษต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการพัฒนาทักษะการฟังจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
แตกต่างกัน
ขอบเขตการวิจัย
ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัยเพื่อศึกษาการพัฒนาทักษะการฟังจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ไว้ดังนี้
1. ขอบเขตด้านเนื้อหา ผู้วิจัยได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการฟังจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า จากการนำทฤษฎี คีธ จอหน์สัน ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ขั้น ดังนี้
1.1 หลักการการถ่ายโอนข้อมูล
1.2 หลักการของช่องว่างระหว่างข้อมูล
1.3 หลักการการประสานต่อ
1.4 หลักการการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย
1.5 หลักการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า จำนวน 431 คน
2.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า เป็นจำนวน 117 คน โดยใช้การสุ่มอย่างง่าย
3. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ สถานภาพของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
3.1.1 เพศ ได้แก่ เพศชายและเพศหญิง
3.1.2 ประสบการณ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ
3.1.2.1 น้อยกว่า 3 ปี
3.1.2.2 3-5 ปี
3.1.2.3 มากกว่า 5 ปีขึ้นไป
3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ การการพัฒนาทักษะการฟังจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามทฤษฎีของ คีธ จอห์นสัน ประกอบไปด้วย 5 ขั้น
3.2.1 หลักการการถ่ายโอนข้อมูล
3.2.2 หลักการของช่องว่างระหว่างข้อมูล
3.2.3 หลักการการประสานต่อ
3.2.4 หลักการการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย
3.2.5 หลักการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา
4. ขอบเขตด้านระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ระยะเวลา ปีการศึกษา 2563 ตั้งแต่ เดือนตุลาคม กุมภาพันธ์ 2564
นิยามศัพท์เฉพาะ
การศึกษาการพัฒนาทักษะการฟังจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ผู้วิจัยได้กำหนดคำนิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการศึกษาไว้ ดังต่อไปนี้
1. การจัดการเรียนการสอน หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีของ คีธ จอห์นสัน ในการสอนทักษะการฟัง
2. ทักษะการฟัง หมายถึง การฟังสารและสามารถระบุใจความสำคัญจากสารได้
3. นักเรียน หมายถึง ผู้ศึกษาเล่าเรียน ผู้รับการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
4. เพศ หมายถึง ลักษณะที่บอกให้ใครๆ รู้ว่า บุคคลนั้นๆ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า มีทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารมากขึ้น
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า มีทักษะในการในการฟัง และจับใจความสำคัญ
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า มีทัศนคติที่ดีต่อการทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษมากขึ้น