การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้กิจกรรมนอกห้องเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๒ (ประชาภิบาล)
ชื่อผู้วิจัย บรรจง น้อยพันธุ์
ปีที่ศึกษา 2565
การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนาโดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนโรงเรียนเทศบาล ๒ (ประชาภิบาล) 2) เพื่อสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้กิจกรรมนอกห้องเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๒ (ประชาภิบาล) 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้กิจกรรมนอกห้องเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๒ (ประชาภิบาล) 4) เพื่อประเมินผลและถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการเรียนรู้กิจกรรมนอกห้องเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๒ (ประชาภิบาล) ผู้ให้ข้อมูลหลักในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการ เป็นผู้บริหาร ครู จำนวน 5 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 5 คน ผู้ปกครอง จำนวน 5 คน และนักเรียน 5 คน กลุ่มเป้าหมายในการรับรองรูปแบบ เป็นผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน กลุ่มตัวอย่างเป็น ครู จำนวน 13 คน นักเรียนจำนวน 89 คน และกลุ่มเป้าหมายในการการถอดบทเรียน เป็นครู จำนวน 10 คน และนักเรียน จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้กิจกรรมนอกห้องเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน แบบสอบถามความรู้ความเข้าใจการจัดการเรียนรู้กิจกรรมนอกห้องเรียน แบบประเมินสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ของครู แบบประเมินทักษะการเรียนรู้นักเรียน และการถอดบทเรียน วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที การถอดบทเรียนใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า
1) การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ความต้องการในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนโรงเรียนเทศบาล ๒ (ประชาภิบาล) สรุปว่า โรงเรียนเทศบาล ๒ (ประชาภิบาล) ต้องมีการบริหารจัดการโดยการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ควรเร่งพัฒนาทั้งคน วิธีการ เครื่องมือเทคโนโลยี และระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อทำงานได้สำเร็จรวดเร็วยิ่งขึ้น ความต้องการการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนโดยเน้นไปที่การศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์จริง จากการเรียนการสอนที่นักเรียนมีโอกาสเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง กิจกรรมต่างๆ ถูกหล่อหลอมให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของนักเรียนและการเรียนรู้
2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้กิจกรรมนอกห้องเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล ๒ (ประชาภิบาล) ใช้รูปแบบ PKNE Model สรุปองค์ประกอบ 4 ขั้นตอนคือ 1) การวางแผน (Planning : P) 2) การให้ความรู้ (Knowledge : K) 3) เครือข่ายวิชาการ (Networking : N) และ 4) การขยายผล (Expanding : E) ที่ผ่านการรับรองแล้ว
3) การทดลองใช้ โดยการจัดอบรม พบว่า การทดสอบความรู้ก่อนและหลังการอบรมมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.31 และหลังอบรม 15.31 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนน พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01
4) ผลการประเมินผลและถอดบทเรียนรูปแบบการจัดการเรียนรู้กิจกรรมนอกห้องเรียนโดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนมีระดับความรู้ความเข้าใจการจัดการเรียนรู้กิจกรรมนอกห้องเรียน ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก การประเมินระดับสมรรถนะในการจัด การเรียนรู้ของครูภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และการระดับทักษะการเรียนรู้ของนักเรียน ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ระดับทักษะการเรียนรู้ของนักเรียน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก