1. สภาพปัญหา ความต้องการ/ความสำคัญ
นโยบายหลักในการจัดการศึกษาของชาติ ที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545) และฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2553) ที่มุ่งเน้นให้ทุกคนได้เรียนรู้ตลอดชีวิตโดยให้ทุกๆ คนในชาติที่มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ส่งเสริมให้มีการปฏิรูปการเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับผู้เรียนเพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้อง ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนและเต็มตามศักยภาพและหมวด 4 มาตรา 24 ยังได้ระบุ ไว้อย่างชัดเจน ว่าการจัดกระบวนการเรียนรู้สถานศึกษาต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น (กระทรวงศึกษาธิการ,2553 : 34-56) ซึ่งตรงกับการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเป็นมีความรู้ความสามารถ มีสมรรถนะที่สำคัญและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของการเป็นพลเมืองที่ดีของชาติและโลกนั้น ต้องมีแนวการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะสำคัญของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 และเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรุก Active learning เพื่อผู้เรียนเกิดทักษะที่สำคัญซึ่งจะนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมายการศึกษา ไทย 4.0 ซึ่งสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2560) ได้อธิบายว่า Active Learning คือ กระบวนการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการดำเนินในการจัดกิจกรรมการรู้เพื่อสร้างความเข้าใจลึกซึ้งด้วยการเชื่อมโยงผู้เรียนกับเนื้อหาในองค์ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง แนวคิดและทักษะผ่านการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง การเปลี่ยนแปลงสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีการ ปรับเปลี่ยนปฏิรูปสังคมไปสู่ความเป็นสังคมใหม่ ประกอบกับแนวคิดใหม่ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้เป็นรูปที่สมบูรณ์มีความสมดุลทั้งด้านร่างกายจิตใจสติปัญญา อารมณ์และสังคมสามารถพัฒนาตนเอง และร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมให้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงามสุนทรียภาพ ความมีคุณค่าซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ ดังนั้นการจัดกิจกรรมศิลปะสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนโดยตรงทั้งด้านร่างกายจิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง และแสดงออกในเชิงสร้างสรรค์การเรียนการสอนศิลปศึกษาในปัจจุบันนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพ ของมนุษย์
การพัฒนากระบวนการรับรู้ทางศิลปะ การเห็นภาพรวมการสังเกตรายละเอียดสามารถค้นพบศักยภาพของตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้ด้วยการมีความรับผิดชอบ มีระเบียบ วินัย สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข การเรียนรู้ศิลปะมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ การคิดที่เป็นเหตุเป็นผลถึงวิธีการทางศิลปะความเป็นมาของรูปแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นและรากฐานทางวัฒนธรรม ค้นหาว่าผลงานศิลปะสื่อความหมายกับตนเอง ค้นหาศักยภาพ ความมั่นใจส่วนตัว ฝึกการรับรู้การสังเกตที่ ละเอียดอ่อนอันนำไปสู่ความรัก เห็นคุณค่าและเกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะและสิ่งรอบตัว พัฒนาเจตคติ สมาธิรสนิยมส่วนตัวมีทักษะ กระบวนการวิธีการแสดงออกการคิด สร้างสรรค์ส่งเสริมให้ผู้เรียนตระหนักถึง บทบาทของศิลปกรรมในสังคม ในบริบทของการสะท้อนวัฒนธรรมทั้งของตนเองและวัฒนธรรมอื่นพิจารณาว่ารูปในวัฒนธรรมของตนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่องานศิลปะ ช่วยให้มีมุมมองและเข้าใจโลกทัศน์กว้างไกล ช่วยเสริม ความรู้ความเข้าใจมโนทัศน์ด้านอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นมุมมองของชีวิตสภาพเศรษฐกิจสังคม การเมืองการปกครอง และความเชื่อความศรัทธาทางศาสนา ด้วยลักษณะธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะการเรียนรู้ เทคนิค วิธีการทำงานตลอดจนเปิดโอกาสให้แสดงออกอย่างอิสระทำให้ผู้เรียนได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้คิดริเริ่มสร้างสรรค์ดัดแปลงจินตนาการ มีสุนทรียภาพและเห็นคุณค่าของศิลปะวัฒนธรรมไทยและสากล กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีจินตนาการทางศิลปะชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่าซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจนการนําไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเองอันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้ ทัศนศิลป์ มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบศิลป์ ทัศนธาตุ สร้างและนําเสนอผลงานทางทัศนศิลป์จากจินตนาการ โดยสามารถใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมรวมทั้งสามารถใช้เทคนิค วิธีการของศิลป์นในการสร้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานศิลปะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล ชื่นชม ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวัน และเป็นวิชาที่ประกอบด้วยภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการทางซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมศิลปะช่วยพัฒนา ผู้เรียนทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ตลอดจนการนำไปสู่การพัฒนา สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมันในตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพได้ โดย มีกระบวนการอยางสร้างสรรค์ อย่างหลากหลาย การเรียนรู้จะเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ได้ต้องขึ้นอยู่กับการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมสอดคล้องกับความถนัด ความแตกต่างของผู้เรียน ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา รวมทั้งปลูกฝัง
คุณธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
ปัญหาในการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระทัศนศิลป์นั้น คือการจัดกิจกรรม กระบวนการเรียนการสอนที่ไม่เร้าใจ นักเรียนไม่ได้แสดงออกทางความคิดเบื่อหน่ายต่อการรับรู้ทางการเรียน ซึ่งส่งผลไม่ดีต่อคุณภาพโดยรวม ดังรายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระทัศนศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดไร่ขิง(สุนทรอุทิศ) ครูผู้สอนจะต้องหาแนวทางปรับปรุงและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยจัดกิจกรรมการสอนที่มุ่งเน้นให้นักเรียนได้คิดแบบสร้างสรรค์มีทักษะในการเรียนศิลปะ มีทักษะในการแก้ปัญหาปลูกฝังทักษะ ในการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการทำงานในรูปกระบวนการ กลุ่มและให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา จากปัญหาดังกล่าวผู้ศึกษาค้นคว้าจึงได้หาวิธีการและแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยคิดเครื่องมือเข้ามาช่วยในการสอนการระบายสีไม้ จึงได้วางแผนดำเนินการแก้ไข ดังนี้คือ ศึกษาวิธีการสอนจากเอกสารหลักสูตร ตำราที่เกี่ยวกับเทคนิคการสอนแบบต่าง ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการสอนการระบายสีไม้ รวมทั้งการใช้สื่อ การเรียนการสอน จัดสร้างสื่อ และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ประกอบการสอน เช่น ชุดแบบฝึกการะบายสีไม้ เอกสารประกอบการเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถค้นคว้าได้ด้วยตนเองและสนใจเรียนมากขึ้น ชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ นับว่า เป็นสื่อทางการศึกษาอีกรูปแบบหนึ่งเหมาะที่จะนำ มาใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพราะเป็นการ นำเอาสื่อการสอนเทคนิค วิธีการใหม่ๆ เข้ามาประกอบการเรียนการสอน ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่ง ที่จะนำมาแก้ปัญหาดังกล่าวได้การนำนวัตกรรมในรูปของชุดแบบฝึกการะบายสีไม้ 5 ขั้นตอน เข้ามาเสริมในการจัดการเรียนการสอน จะทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนบรรลุผลการเรียนรู้ตามจุดหมายที่หลักสูตรกำหนดไว้ ชุดแบบฝึกการะบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S เป็นการรวบรวมเทคนิควิธีการระบายสีแบบต่างๆ 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 smoothing การระบายเรียบ ขั้นตอนที่ 2 scaling การระบายไล่สี
ขั้นตอนที่ 3 seting ระบายผสานสี ขั้นตอนที่ 4 shaping ระบายสร้างรูปทรง ขั้นตอนที่ 5 scen making ระบายเกิดระยะ จึงนำมาจัดไว้เกี่ยวเนื่องกันในเนื้อหาวิชาเพียงเรื่องเดียวที่เริ่มจากขั้นตอนที่ง่ายไปถึงขั้นตอนที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S ยังเป็นรูปแบบเพื่อช่วยเหลือครูให้สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
ผู้วิจัยได้นำปัญหาการจัดกระบวนการเรียนการสอนกลุ่มสาระศิลปะสาระทัศนศิลป์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่จะแก้ปัญหาให้ได้ในปีการศึกษา 2565 โดยการใช้สื่อการเรียนรู้ที่เรียกว่า ชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S ดังนั้น การใช้ชุดแบบฝึกทักษะจึงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการช่วยให้นักเรียน ได้ฝึกฝนการระบายสีไม้อย่างเป็นลําดับขั้นตอนและต่อเนื่อง จึงได้ออกแบบชุดแบบฝึกทักษะเรื่องการ ระบายสีไม้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โดยมีลักษณะเนื้อหาที่ประกอบด้วยทฤษฎีศิลป์ ภาพตัวอย่าง แบบฝึกภาคปฏิบัติ เพื่อเพิ่มพูนทักษะและพัฒนาทักษะการระบายสีไม้ รวมทั้งยังสามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาศิลปะให้แก่นักเรียนได้เพื่อประกอบการสอนบทเรียนนี้เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นและทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
2. วัตถุประสงค์ เป้าหมายของการดำเนินงาน
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียน เรื่องทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี
2. เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี
3. กระบวนการ หรือขั้นตอนการดำเนินงาน
3.1 ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
1) ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดไร่ขิง(สุนทรอุทิศ) อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 252 คน
2)กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4 ที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดไร่ขิง(สุนทรอุทิศ) อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 30 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
3) ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้าได้ใช้เวลาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
4) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ครั้งนี้มี 4 ชนิด คือ
1.ชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S
2.แบบประเมินทักษะการระบายสีไม้ก่อนเรียนและหลังเรียน
3.แบบสรุปผลพัฒนาการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S
4.ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องทักษะการระบาย
ด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี จำนวน 10 ข้อ มีการประเมินค่า (Rating Scale) 5 ระดับ เกณฑ์การให้คะแนนแบบสอบถาม ดังนี้
5 มีระดับความพึงพอใจ มากที่สุด
4 มีระดับความพึงพอใจ มาก
3 มีระดับความพึงพอใจ ปานกลาง
2 มีระดับความพึงพอใจ น้อย
1 มีระดับความพึงพอใจ น้อยที่สุด
5) การวิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนวัดไร่ขิง(สุนทรอุทิศ) อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 จำนวน 5 ชั่วโมง
6) วิธีดำเนินการศึกษาครั้งนี้ แบบแผนที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าการศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้ผู้ศึกษาค้นคว้าใช้กระบวนการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) โดยใช้แผนการทดลองแบบ The Group Pretest-Posttest Design
กลุ่ม ทดสอบก่อนเรียน ทดลอง ทดสอบหลังเรียน
C1 T1 X T2
เมื่อ C1 แทน กลุ่มทดลอง T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน
X แทน การทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะ T2 แทน การทดสอบหลังเรียน
3.2 ขั้นตอนการดำเนินงาน
3.2.1 ขั้นเตรียมการ
1. การสร้างสื่อชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S
1.1 ขั้นเตรียมการผลิตสื่อ โดยการศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ศึกษาสภาพปัจจุบันของปัญหาการเรียนการสอนระบายสี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสื่อการเรียนการสอนศึกษาเทคนิคและกระบวนการผลิตสื่อการเรียนการสอนเข้าอบรมสัมมนาเกี่ยวกับเทคนิค และกระบวนการผลิตสื่อการเรียนการสอน
1.2 กำหนดเนื้อหาในการใช้ชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2. วิธีการใช้ชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S
2.1 ศึกษาหนังสือ เอกสารเกี่ยวกับเรื่องการจัดทำหลักสูตร
2.2 ทำการวิเคราะห์หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระทัศนศิลป์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
หน่วยที่ 1 สังเกตสู่สร้างสรรค์
2.3 กำหนดรายละเอียดของเนื้อหาและวัตถุประสงค์โดยให้สัมพันธ์กับหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระทัศนศิลป์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วยที่ 1 สังเกตสู่สร้างสรรค์
ดังกล่าวไว้แล้วกำหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปและวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน
2.4 ศึกษาเอกสารและตำราถึงวิธีการสร้างสื่อ ในรูปแบบต่าง ๆ
2.5 ใช้สื่อชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S ตามวัตถุประสงค์และเนื้อหาที่ตั้งไว้โดยดำเนินการวางโครงเรื่องที่จะเขียนเป็นลำดับ เรื่องราวก่อนหลัง จากง่ายไปหายากแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน ๆแต่ละตอนต้องสัมพันธ์กัน โดยสร้างชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S จำนวน 1 ชุด ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 smoothing การระบายเรียบ
ขั้นตอนที่ 2 scaling การระบายไล่สี
ขั้นตอนที่ 3 seting ระบายผสานสี
ขั้นตอนที่ 4 shaping ระบายสร้างรูปทรง
ขั้นตอนที่ 5 scen making ระบายเกิดระยะ
3.หาคุณภาพของเครื่องมือโดยให้ผู้เชี่ยวชาญในสายชั้นทำแบบประเมินสื่อสรุปหาค่าร้อยละ
3.2.2 ขั้นดำเนินการ
1.ทดลองกับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา2565โรงเรียนวัดไร่ขิง (สุนทรอุทิศ) อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 จำนวน 30 คน ดำเนินการรวบรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
2.ใช้สื่อเพิ่มเติมเพื่อใช้ประกอบกิจกรรมในสื่อชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S
3.นำชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S ไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เนื้อหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ดังนี้ ทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน คือ นักเรียนที่มีปัญหาขาดทักษะในการระบายสีไม้โดยใช้ ชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S ขั้นตอนเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมในเรื่องเวลาการใช้ภาษากิจกรรมต่างๆ ที่จัดไว้ในบทเรียนทำการเก็บข้อมูลต่างๆ โดยสังเกตพฤติกรรมผู้เรียนตลอดจนตรวจดูผลงานจากการทำแบบฝึกทักษะระหว่างเรียนและการปฏิบัติกิจกรรมอย่างใกล้ชิดแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้ง ดังตาราง
สัปดาห์ที่ วัน เดือน ปี ชั่วโมงที่ รายการที่เก็บข้อมูล
1 1 มิ.ย. 2565 1 ทดสอบก่อนเรียน ศึกษาใบความรู้และฝึกปฏิบัติระบายสีไม้ ขั้นตอนที่ 1 smoothing การระบายเรียบ
2 8 มิ.ย. 2565 2 ศึกษาใบความรู้และฝึกปฏิบัติระบายสีไม้
ขั้นตอนที่ 2 scaling การระบายไล่สี
3 15 มิ.ย. 2565 3 ศึกษาใบความรู้และฝึกปฏิบัติระบายสีไม้
ขั้นตอนที่ 3 seting ระบายผสานสี
4 22 มิ.ย. 2565 4 ศึกษาใบความรู้และฝึกปฏิบัติระบายสีไม้
ขั้นตอนที่ 4 shaping ระบายสร้างรูปทรง
5. 29 มิ.ย. 2565 5 ศึกษาใบความรู้และฝึกปฏิบัติระบายสีไม้
ขั้นตอนที่5 scen making ระบายเกิดระยะทดสอบหลังเรียน
ในการดำเนินการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S ในการดำเนินงานในแต่ละเรื่องนั้น ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ประเมินทักษะการปฏิบัติงานและกิจกรรมของนักเรียนแต่ละคน ทั้งการประเมินก่อนเรียนและหลังเรียนเพื่อประเมินพัฒนาการของนักเรียนครบทุกแผนการจัดกาเรียนรู้ ผู้ศึกษาค้นคว้าได้จัดเก็บข้อมูลด้วยเครื่องมือ 3 ชนิด ได้แก่ ชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ ด้วยเทคนิค 5S แบบประเมินทักษะการระบายสีไม้
ก่อนเรียน-หลังเรียนและแบบสรุปผลพัฒนาการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S
4) แบบประเมินทักษะปฏิบัติงาน เรื่องการวาดภาพระบายสีเป็นแบบประเมินทักษะการปฏิบัติตนของนักเรียนขณะร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ตามกิจกรรมกำหนดรวมถึงพฤติกรรมต่างๆ ระหว่างเรียนด้วย มีขั้นตอน การสร้าง ดังนี้
4.1 แบบประเมินทักษะปฏิบัติและกำหนดรูปแบบการประเมินทักษะปฏิบัติ
4.2 แบบประเมินทักษะการระบายสีโดยใช้ชุดแบบฝึกการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S มี 5 ระดับคะแนน ดังนี้
5 ระบายสีได้ครบถ้วนสวยงาม สะอาด ถูกต้องสมบูรณ์
4 ระบายสีได้ตามแบบอย่างทั้งรูป สะอาด แต่มีรายละเอียดไม่สมบูรณ์
3 ระบายสีได้ตามแบบอย่างไม่ครบทั้งรูป สะอาด รายละเอียดไม่สมบูรณ์
2 ระบายสีได้ไม่ครบถ้วน ทั้งรูป งานสกปรกและรายละเอียด ไม่สมบูรณ์
1 ระบายสีไม่ได้ งานสกปรก ทั้งรูปและไม่มีรายละเอียด ไม่สมบูรณ์
5) นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสีไม้ซึ่งได้มาจากแบบวัดที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้น จำนวน 10 ข้อ
3.2.3 ขั้นประเมินผล
1) นำข้อมูลที่ได้มาหาผลการพัฒนาความแตกต่างระหว่างการทดสอบก่อนทดลองและหลังทดลองด้วยสถิติร้อยละ
2) นำผลที่ได้มาวิเคราะห์และรายงานผล
4. ผลการดำเนินงาน
1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียน เรื่องทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี ดังตาราง
ตาราง แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียน เรื่องทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี
C1 T1 T2 คะแนนผลต่าง
1 12 19 7
2 14 19 5
3 15 19 4
4 15 20 5
5 12 18 6
6 12 18 6
7 12 18 6
8 14 18 4
9 13 16 3
10 11 16 5
11 10 16 6
12 10 19 9
13 10 18 8
14 12 18 6
15 14 18 4
16 12 17 5
17 10 18 8
18 10 16 6
19 12 17 5
20 12 17 5
21 12 17 5
22 10 18 8
23 10 18 8
24 12 17 5
25 14 17 3
26 14 18 4
27 12 18 6
28 12 19 7
29 12 18 6
30 11 18 7
รวม 361 533 172
12.03 17.77 5.73
S.D. 1.54 1.01 1.53
ร้อยละ 60.17 88.83 28.67
จากตารางแสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียน เรื่องทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี จำนวน 30 คน พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนของนักเรียนมีค่าเฉลี่ย (X ̅= 12.03 ) คะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียน มีค่าเฉลี่ย (X ̅= 17.77 ) และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ก่อนเรียน เท่ากับ 1.54 หลังเรียนเท่ากับ 1.01 ซึ่ งแสดงให้เห็นว่าหลังเรียน นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
2. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี ดังตาราง
ตาราง แสดงผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี
ที่ รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย ร้อยละ SD เกณฑ์การประเมิน
1 ประโยชน์ของกิจกรรม 4.66 93.13 0.61 มากที่สุด
2 ความเหมาะสมของกิจกรรม 4.27 85.34 0.52 มาก
3 การมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง 4.34 86.87 0.67 มาก
4 ระยะเวลาปฏิบัติกิจกรรม 4.31 86.26 0.67 มาก
5 ผู้รับผิดชอบกิจกรรม 4.17 83.31 0.71 มาก
6 การนิเทศ กำกับ ติดตาม 4.35 87.02 0.55 มาก
7 ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียน 4.62 92.37 0.49 มากที่สุด
8 ผลที่เกิดขึ้นกับครู 4.39 87.79 0.68 มาก
9 ความสำเร็จของกิจกรรม 4.76 95.20 0.51 มากที่สุด
10 ภาพรวมความพึงพอใจในการจัดกิจกรรม 4.20 83.97 0.79 มาก
รวม 4.41 88.13 0.62 มาก
จากตาราง แสดงผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี จำนวน 30 คน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 83.97 (X ̅= 4.20 ) และมีความพึงพอใจในความสำเร็จของกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 95.20 อยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅= 4.76 ) รองลงมาประโยชน์ของกิจกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅= 4.66 ) ผลที่เกิดขึ้นกับครู อยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅= 4.62 ) ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียน อยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅= 4.39 ) การนิเทศ กำกับ ติดตาม อยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅= 4.35 ) การมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง อยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅= 4.34 ) ระยะเวลาปฏิบัติกิจกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅= 4.31 ) และความเหมาะสมของกิจกรรม ระดับมากที่สุด (X ̅= 4.27 ) ตามลำดับ
4.2 ผลสัมฤทธิ์
1) นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทุกคนผ่านเกณฑ์การประเมินตัวชี้วัด
2) นักเรียนทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระทัศนศิลป์สูงกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนด
4.3 ประโยชน์ที่ได้รับ
1) นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทุกคนผ่านเกณฑ์การประเมินทุกตัวชี้วัด
2) นักเรียนกลุ่มเป้าหมายทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่อง
ทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี พบว่า นักเรียนมีคะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย (X ̅= 12.03 ) คะแนนหลังเรียน มีค่าเฉลี่ย (X ̅= 17.77 ) และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ก่อนเรียน เท่ากับ 1.54 หลังเรียนเท่ากับ 1.01 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคะแนนหลังเรียนของนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะการระบายด้วยเทคนิค 5S โดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการระบายสี อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 83.97 (X ̅= 4.20 )
4.4 ข้อเสนอแนะ
1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในชุดฝึกทักษะการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S ควรมีการปรับปรุงให้ทันสมัยเหมาะสมกับผู้เรียนอยู่เสมอ
2. ครูผู้สอนควรจัดสื่ออุปกรณ์ให้พร้อมและจัดกิจกรรมสาธิตการการระบายสีไม้ด้วยเทคนิค 5S ในทุกๆ หน่วยการเรียนรู้ก่อนที่นักเรียนจะปฏิบัติงานจริง
3. การปฏิบัติงานการระบายสีไม้จากชุดฝึกทักษะครูยังต้องให้คำแนะนำกำกับดูแลผู้เรียนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความเข้าใจและตอบข้อสงสัยในชุดฝึกทักษะทำให้เกิดบรรยากาศของการเรียนรู้ภายในห้องเรียน
4. นักเรียนให้ความสนใจและมีความกระตือรือร้นกับการเรียนในเนื้อหาที่มีรูปภาพ เช่น
เช่น ภาพตัวอย่าง และภาพขั้นตอนการระบายสีไม้ทำให้นักเรียนอยากปฏิบัติงาน จึงควรปรับปรุงรูปแบบสื่อ และเพิ่มเติมรูปภาพ เพื่อการตอบสนอง และกระตุ้นความกระตือรือร้นของผู้เรียน และทำให้ชุดฝึกทักษะมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น