ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามเทคนิค K-W-D-L โดยใช้กระบวนการร่วมมือแบบเพื่อนคู่คิด THINK – PAIR – SHARE เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี

ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามเทคนิค K-W-D-L โดยใช้กระบวนการร่วมมือแบบเพื่อนคู่คิด THINK – PAIR – SHARE เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

ผู้วิจัย นางอรอนงค์ เพ็ชรเพ็ง

หน่วยงาน โรงเรียนบ้านทุ่งเลน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4

ปีที่วิจัย 2565

บทคัดย่อ

การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามเทคนิค K-W-D-L โดยใช้กระบวนการร่วมมือแบบเพื่อนคู่คิด THINK – PAIR – SHARE เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพและข้อมูลพื้นฐานในการจัด การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามเทคนิค K-W-D-L โดยใช้กระบวนการร่วมมือแบบเพื่อนคู่คิด THINK – PAIR – SHARE เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model ที่พัฒนาขึ้น และ 4) เพื่อประเมินและปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การศึกษาบริบทปัญหาพื้นฐาน แนวคิดเกี่ยวกับเทคนิค K-W-D-L และกระบวนการร่วมมือแบบเพื่อนคู่คิด THINK – PAIR – SHARE สังเคราะห์ได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามเทคนิค K-W-D-L โดยใช้กระบวนการร่วมมือแบบเพื่อนคู่คิด THINK – PAIR – SHARE เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณ เรียกว่า STEPE Model ตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน และส่วนที่ 2 ประเมินรูปแบบด้วยการวิจัยและพัฒนา นำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในชั้นเรียน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านทุ่งเลน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 จำนวน 13 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย การคำนวณค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) ค่าร้อยละ (P) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) และการหาค่าความสอดคล้อง (IOC)

ผลการวิจัยพบว่า

1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน พบว่า ควรปรับปรุงด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ เนื่องจากมีนักเรียนอ่านหนังสือไม่คล่อง จึงเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ควรส่งเสริมนักเรียนโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามเทคนิค K-W-D-L โดยใช้กระบวนการร่วมมือแบบเพื่อนคู่คิด THINK – PAIR – SHARE เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง นักเรียนสามารถเรียนรู้จากการปฏิบัติงาน นักเรียนวางแผนการทำงาน คิดแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำงาน ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ครูผู้สอนเป็นผู้เสนอแนะแนวทางการเรียนรู้เพิ่มเติมด้านเนื้อหาเพื่อให้นักเรียนเกิดการพัฒนาทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหา เรียกว่า การจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model มีองค์ประกอบหลัก คือ 1) หลักการของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2) จุดมุ่งหมายของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3) เนื้อหาที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ 4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วยขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1 เรียนรู้ด้วยตนเอง (S) ขั้นที่ 2 เติมเต็มด้วยกลุ่ม (T) ขั้นที่ 3 รวมกลุ่มอภิปราย (E) ขั้นที่ 4 ขยายความด้วยครู (P) และขั้นที่ 5 พรั่งพรูด้วยทักษะ (E) 5) การวัดและประเมินผลของรูปแบบการจัด การเรียนรู้ และ 6) ปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ ผลจากการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ได้ค่าความเหมาะสมสอดคล้องมีค่าเฉลี่ย ( ) ตั้งแต่ 4.00 - 5.00 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) ตั้งแต่ 0.00 - 0.55 ซึ่งแสดงว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องเชิงโครงสร้าง สามารถนำไปทดลองใช้ได้และผลการหาประสิทธิภาพ (E1/E2) ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยภาพรวม เท่ากับ 84.12/84.87 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80

3. ผลของการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านทุ่งเลน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงขึ้น โดยมีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.12/84.87 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ซึ่งอยู่ในระดับสูงมากและสูงกว่าก่อนเรียนโดยมีผลต่างของร้อยละ เท่ากับ 31.28 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model โดยรวม อยู่ในระดับพึงพอใจมาก ( = 4.43, = 0.70)

4. ผลการประเมินและปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 มีผลการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง การคูณ หลังเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model สูงกว่าก่อนเรียนโดยมีผลต่างของร้อยละ เท่ากับ 31.28 และผลจากครูผู้สอนคณิตศาสตร์ที่นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STEPE Model ไปใช้ มีผลการประเมินระดับมากที่สุด

โพสต์โดย ครูไดม่อน : [27 ก.ย. 2566 เวลา 19:50 น.]
อ่าน [1909] ไอพี : 223.24.159.156
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 4,104 ครั้ง
ทำไมอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นผู้เล่นใหญ่ในเศรษฐกิจของหลายประเทศ
ทำไมอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นผู้เล่นใหญ่ในเศรษฐกิจของหลายประเทศ

เปิดอ่าน 37,817 ครั้ง
TOEFL คืออะไร
TOEFL คืออะไร

เปิดอ่าน 19,182 ครั้ง
ดาวน์โหลด Powerpoint แนวทางการปฏิรูปการศึกษา
ดาวน์โหลด Powerpoint แนวทางการปฏิรูปการศึกษา

เปิดอ่าน 23,477 ครั้ง
เปิดชื่อ 11 จังหวัด หนาวยะเยือกที่สุดในประเทศ
เปิดชื่อ 11 จังหวัด หนาวยะเยือกที่สุดในประเทศ

เปิดอ่าน 13,493 ครั้ง
พบหลุมยุบยักษ์ปริศนาที่ไซบีเรีย นักวิทย์เร่งหาคำตอบ
พบหลุมยุบยักษ์ปริศนาที่ไซบีเรีย นักวิทย์เร่งหาคำตอบ

เปิดอ่าน 23,850 ครั้ง
ลายมือคนสันโดษ
ลายมือคนสันโดษ

เปิดอ่าน 73,130 ครั้ง
การแบ่งเกรดดินสอตามความแข็ง
การแบ่งเกรดดินสอตามความแข็ง

เปิดอ่าน 17,699 ครั้ง
ดื่มล้างพิษ เพิ่มพลัง ตับ แข็งแรง
ดื่มล้างพิษ เพิ่มพลัง ตับ แข็งแรง

เปิดอ่าน 9,683 ครั้ง
โลกต้องให้ความสำคัญกับครู (จบ)
โลกต้องให้ความสำคัญกับครู (จบ)

เปิดอ่าน 40,161 ครั้ง
ของพรีเมี่ยมคืออะไร ?
ของพรีเมี่ยมคืออะไร ?

เปิดอ่าน 19,792 ครั้ง
ระเบียบการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน นอกเหนือจากเงินเดือน (2)
ระเบียบการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน นอกเหนือจากเงินเดือน (2)

เปิดอ่าน 11,076 ครั้ง
โรคไบโพลาร์
โรคไบโพลาร์

เปิดอ่าน 13,286 ครั้ง
"ถั่ว" ยาต้านมะเร็งตับอ่อน
"ถั่ว" ยาต้านมะเร็งตับอ่อน

เปิดอ่าน 10,427 ครั้ง
“งานขาย-บริการ-อาหาร” อาชีพที่นายจ้างต้องการคนร่วมงาน
“งานขาย-บริการ-อาหาร” อาชีพที่นายจ้างต้องการคนร่วมงาน

เปิดอ่าน 16,126 ครั้ง
8 นิสัยที่ฉุดให้การทำงานของคุณย่ำอยู่กับที่
8 นิสัยที่ฉุดให้การทำงานของคุณย่ำอยู่กับที่

เปิดอ่าน 11,489 ครั้ง
ลีลาตำรวจโบกรถ เชียงใหม่ ช่วยผู้ขับขี่คลายเครียดได้เยอะ
ลีลาตำรวจโบกรถ เชียงใหม่ ช่วยผู้ขับขี่คลายเครียดได้เยอะ
เปิดอ่าน 16,990 ครั้ง
ยาปฏิชีวนะ
ยาปฏิชีวนะ
เปิดอ่าน 13,377 ครั้ง
เรื่องปูนๆ กับท่อปูนที่คุณอาจยังไม่รู้
เรื่องปูนๆ กับท่อปูนที่คุณอาจยังไม่รู้
เปิดอ่าน 17,186 ครั้ง
10 เคล็ดลับเลิกบุหรี่
10 เคล็ดลับเลิกบุหรี่
เปิดอ่าน 11,582 ครั้ง
สมุนไพรไม่ปลอดภัยเสมอไป
สมุนไพรไม่ปลอดภัยเสมอไป

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ