คำสำคัญ : การสร้างคำในภาษาไทย/ รูปแบบการสอนมโนทัศน์/ แผนผังความคิด
ชัยกฤต อินทะโส: การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการสร้างคำในภาษาไทย
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์
ร่วมกับแผนผังความคิด.
ปีการศึกษา: 2565
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการสร้างคำในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/12 ที่เรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การทดสอบ ค่าสถิติทดสอบที แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t - test Dependent) การหาค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการวิจัยพบว่า
1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน ( 8.53, S.D. = 1.24) สูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนก่อนเรียน ( = 5.97, S.D. = 0.89)
2) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก มีค่าเฉลี่ย ( ) เท่ากับ 2.70 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.40
กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติและเป็นเครื่องมือสื่อสารของคนในสังคม มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความสามารถและมีทักษะในการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง จึงได้กำหนดวิชาภาษาไทยไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยกำหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ไว้จำนวน 5 สาระได้แก่ สาระที่ 1 การอ่าน สาระที่ 2 การเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด สาระที่ 4หลักการใช้ภาษาไทย และสาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทยมาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ (กระทรวงศึกษาธิการ,สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2551: 53) ถือเป็นสาระที่สำคัญสาระหนึ่ง เนื่องจากกฎเกณฑ์ของไวยากรณ์ไทยหรือที่เรียกกันว่าหลักภาษานั้น จะทำให้ผู้ใช้ภาษาเข้าใจและใช้ภาษาไทยได้ถูกต้อง เกิดประสิทธิภาพในการสื่อสาร ดังที่ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (2541: 14) ได้อธิบายถึง ความสำคัญของหลักภาษาไทย ไว้ว่า หลักภาษาไทย คือ ระเบียบแบบแผนของภาษาไทยที่มีไว้เพื่อให้ผู้ใช้ยึดถือเป็นหลักร่วมกันในการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง การมีหลักภาษาไทยเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง หากขาดหลักภาษาไทยเสียแล้ว ก็เท่ากับขาด บรรทัดฐาน ของภาษา จะเป็นเหตุให้มีการใช้ภาษาอย่างบกพร่อง ผิดพลาดและไขว้เขว นานไปก็จะทำให้ภาษาเสื่อมสลายได้ ด้วยเหตุนี้ครูผู้สอนวิชาภาษาไทยต้องสอนให้ผู้เรียนตระหนักและเห็นคุณค่าของวิชาภาษาไทย ซึ่ง กรมวิชาการ (2544: 13) ได้กำหนดแนวทางการสอนหลักเกณฑ์ทางภาษาไทยให้แก่นักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยครูต้องใช้เทคนิคอย่างหลากหลาย ใช้วิธีสอดแทรกหลักภาษาไปในกระบวนการเรียนการสอนอย่างผสมกลมกลืนกับการสอนการใช้ภาษา และสอนให้สนุกด้วยการให้นักเรียนสังเกตการใช้ภาษา สรุปเป็นกฎเกณฑ์ด้วยตนเอง จะได้ไม่ทำให้นักเรียนเบื่อวิชาภาษาไทย หากนักเรียนรักและเห็นคุณค่าของภาษาไทยก็จะเป็นคนรักการอ่าน ซึ่งเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สำคัญยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนเนื้อหาวิชาอื่น ๆ ของนักเรียนต่อไป
คำเป็นหน่วยทางภาษาที่จะต้องนำไปสร้างประโยคและข้อความ ตลอดระยะเวลาที่คนไทยคิดค้นสิ่งใหม่และรับสิ่งใหม่จากชนชาติอื่นทั้งที่เป็นวัตถุ กิจกรรม วิธีการ และอื่น ๆ ก็ได้คิดคำประสมขึ้นเพื่อเรียกขานสิ่งเหล่านั้น เป็นผลทำให้มีคำเพิ่มมากขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2556: 76) การนำคำจากภาษาอื่นมาใช้เป็นการเพิ่มคำในภาษาอีกวิธีหนึ่ง เมื่อคนไทยติดต่อกับ ชนชาติอื่น ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะรับคำในภาษาของชนชาติเหล่านั้นมาใช้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าทางภาษา ทำให้มีคำใช้มากขึ้น สามารถสื่อสารได้ชัดเจน และรวดเร็วยิ่งขึ้น ดังที่ จงชัย เจนหัตถการกิจ (2551: 49) ได้กล่าวถึงการสร้างคำในภาษาไทยว่า ภาษาไทยเป็นภาษาที่ยืดหยุ่นและมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง มีวิธีการสร้างคำเพื่อเพิ่มคำโดยวิธีการของตนเอง โดยเริ่มจากการนำคำมูลประสมกัน ด้วยวิธีการประสมคำ ซ้อนคำ ซ้ำคำ เรียกคำที่สร้างขึ้นใหม่ว่า คำประสม คำซ้อน และคำซ้ำ และยังมีการสร้างคำที่นำมาจากภาษาต่างประเทศ เช่น การสร้างคำโดวิธีการสมาส การสมาสที่มีการสนธิ การลงอุปสรรคของภาษาบาลีสันสกฤต นอกจากนี้ยังมีการแผลงคำทั้งคำไทยและคำที่มาจากภาษาต่างประเทศซึ่งทำให้ภาษา มีความหลายหลาย สอดคล้องกับ นพดล จันทร์เพ็ญ (2557: 20) กล่าวว่า ภาษาไทยจัดว่ามีความพิสดารในการสร้างคำมาก สามารถสร้างคำได้หลายรูปแบบ สามารถสร้างคำให้เกิดความหมายใหม่ได้อย่างหลากหลาย หรือบางทีความหมายอาจคงที่ แต่คำนั้น ๆ จะให้อารมณ์และความรู้สึกเพิ่มขึ้น เพราะภาษาไทยเรารับคำภาษาต่างประเทศไว้มาก เช่น เขมร บาลี สันสกฤต เป็นต้น ซึ่งคำที่เกิดจากการสร้างคำใหม่เหล่านี้จะมีผลต่อการฟัง พูด อ่าน และเขียนมาก ผู้รู้ลักษณะและเข้าใจถึงวิธีการสร้างคำในภาษาไทย ก็จะสามารถใช้ภาษาไทย ได้แคล่วคล่อง โดยเฉพาะในส่วนของการพูดและการเขียน ดังนั้นคำจึงเป็นรากฐานของการใช้ภาษา ซึ่งผู้ใช้ภาษาที่ดีต้องทำความเข้าใจเรื่องลักษณะการสร้างคำและการเกิดใหม่ของคำให้ถ่องแท้ ด้วยเหตุนี้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 สาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา จึงได้กำหนดตัวชี้วัด ท 4.1 ม.4-6/6 ไว้ว่า นักเรียนอธิบายและวิเคราะห์หลักการสร้างคำในภาษาไทยได้ ซึ่งการสร้างคำในภาษาไทยนั้น มีลักษณะเป็นมโนทัศน์ (concept) คือ เป็นความคิดรวบยอดเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และไวยากรณ์ทางภาษา ประกอบด้วยการนิยาม ลักษณะและตัวอย่าง (เฉลิมลาภ ทองอาจ, 2550:9) นอกจากนี้เรื่องการสร้างคำภาษาไทย ยังถูกกำหนดให้เป็นคุณภาพผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551ที่ใช้ในการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
แม้ว่าหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานจะให้ความสำคัญเรื่องหลักการใช้ภาษาไทย และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาได้ตระหนักถึงความสำคัญและพยายามจัด การเรียนการสอนภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพ แต่ปรากฏว่าการเรียนการสอนหลักการใช้ภาษาไทยที่ผ่านมานักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ครูผู้สอนวิชาภาษาไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เกี่ยวกับปัญหาการจัดการเรียนการสอนหลักภาษาไทย ซึ่ง ปิ่นหล้า ศิลาบุตร (2565: สัมภาษณ์) กล่าวว่า เนื้อหาวิชาภาษาไทยในแต่ละระดับมีความซับซ้อน ใช้การท่องจำเป็นจำนวนมาก และต้องเรียนเรื่องเดิมซ้ำเมื่อเรียนในระดับชั้นต่อไป การจัดกิจกกรมการเรียนรู้ต้องใช้เวลานานเพื่อให้ผู้เรียนจำจดเนื้อหาที่เรียนได้ สอดคล้องกับ อาภรณ์ บุญมาก (2565: สัมภาษณ์) อธิบายว่า การเรียนการสอนวิชาภาษาไทยส่วนใหญ่ของครูจะอธิบายความหมาย หลักการและยกตัวอย่าง จากนั้นให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดและตัวอย่างแนวข้อสอบ แล้วครูจึงสรุปโดยการอธิบายซ้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเรียนไม่สามารถสร้างความเข้าใจด้วยตนเอง เพราะจดจำข้อมูลที่ครูสรุปความเข้าใจมาแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไปนักเรียนก็จะลืมเรื่องที่เรียน ไม่มีความคงทนในการเรียนรู้ ส่งผลให้ผู้เรียนมีเจตคติเชิงลบต่อสาระการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาไทยมากขึ้น ดังนั้นครูผู้สอนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนวิธีสอนให้ผู้เรียนได้มีทักษะการคิดและมีความคงทนในการเรียนรู้เรื่องหลักการใช้ภาษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูภาษาไทยในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นผู้เอื้ออำนวย เป็นผู้สนับสนุน ฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ในการเรียนวิชาภาษาไทย (สมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย, 2560: 2)
ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องกับรูปแบบวิธีสอนที่มุ่งเน้น การพัฒนาด้านพุทธิพิสัยและกระบวนการคิดของผู้เรียน พบว่า รูปแบบการสอนมโนทัศน์ (Concept attainment model) สามารถพัฒนาความคิดเชิงมโนทัศน์ของผู้เรียนได้ ซึ่ง ทิศนา แขมมณี (2557: 225) ได้อธิบายวัตถุประสงค์ของรูปแบบการสอนนี้ว่า เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ ของเนื้อหาสาระต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และสามารถให้คำนิยามของมโนทัศน์นั้นด้วยตนเอง และได้อธิบายผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบนี้ว่า หากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ จากการคิด วิเคราะห์ และตัวอย่างที่หลากหลาย จะทำให้ผู้เรียนได้รับผลโดยตรง คือ จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะการสร้างมโนทัศน์ซึ่งสามารถนำไปใช้ทำความเข้าใจมโนทัศน์อื่น ๆ ต่อไปได้ และในปัจจุบันนักการศึกษายอมรับความสำคัญของการสอนให้นักเรียนรู้จักสร้างมโนทัศน์ เพราะ มโนทัศน์ (Concept) มีความสำคัญสำหรับการเรียนการสอนช่วยลดความซับซ้อนในการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนากระบวนการคิดที่มีระบบซึ่งก่อให้เกิดการเรียนที่มีความหมายมากขึ้น แทนการเรียนรู้แบบท่องจำ ดังที่ สุวิทย์ มูลคำ (2556: 10) ได้ให้ความสำคัญของมโนทัศน์ไว้ว่า มโนทัศน์ เป็นเนื้อหาความรู้ที่มีประโยชน์มาก หากผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ของสิ่งใดได้แล้ว เขาก็จะสามารถเอามโนทัศน์นั้นไปประยุกต์ใช้ในโอกาสอื่น ๆ ได้อีกเรื่อย ๆ คนเราจะพยายามสร้างมโนทัศน์ของสิ่งต่าง ๆ และเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ เพราะการสรุปลักษณะเฉพาะของสิ่งของต่าง ๆ ในรูปของมโนทัศน์ จะช่วยลดภาระของสมองให้จดจำน้อยลงแทนที่จะจดจำลักษณะปลีกย่อยของทุกสิ่งอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัว เพียงแต่จำไว้ในลักษณะที่เป็นหมวดหมู่ ซึ่งต่อไปก็จะสามารถขยายขอบข่ายความรู้ของตนเองออกไปได้
จากความสำคัญดังกล่าวทำให้มีผู้สนใจนำรูปแบบการสอนมโนทัศน์ไปใช้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดให้กับผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดอย่างรอบคอบภายใต้หลักการที่เป็นเหตุผล และนำไปใช้เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ดังเช่น เฉลิมลาภ ทองอาจ (2550) ได้ศึกษาวิจัยโดยใช้รูปแบบการสอนมโนทัศน์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หลักการ ใช้ภาษาไทย และความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รัชนี มั่งคั่ง (2553) ได้ศึกษาวิจัยโดยใช้กระบวนการคิดเชิงมโนทัศน์ เพื่อพัฒนาความสามารถ ด้านการเขียนเรียงความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ยุพคิน ไชยรบ (2554) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอานอยางมีวิจารณญาณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ในสาระการเรียนรูภาษาไทยโดยใชรูปแบบการสอนเพื่อใหเกิดมโนมติ และนาสียะห์ สาหาด (2558) ได้ศึกษาวิจัยโดยใช้กระบวนการสอนแบบมโนทัศน์ เพื่อพัฒนาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
วิธีการจัดการเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้จัดการความรู้ด้วยตนเอง คือ เทคนิค การสอนด้วยแผนผังความคิด เพราะการใช้เทคนิคแผนผังความคิดเป็นการเรียนรู้แบบมีขั้นตอนกระบวนการที่เป็นระบบ Buzan (1997: 45) ได้อธิบายในหนังสือ How to Mind Map ว่า Mind Map เป็นเครื่องมือในการจัดระบบความคิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและเรียบง่ายที่สุด เป็นการแสดงออกด้านความคิดรอบทิศทาง และเป็นการกระทำโดยธรรมชาติของปัญญามนุษย์ เป็นเทคนิคกราฟิกที่ทรงพลัง ซึ่งให้ความสำคัญที่เป็นสากลในการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสมอง และยังเป็นวิธีที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นระบบความคิด สามารถนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอน จะเกิดผลดีต่อผู้เรียนที่ได้ฝึกคิดอย่างเป็นระบบ และนำไปสู่ทักษะการเขียนด้วยความเข้าใจของตนเอง เป็นองค์ความรู้ที่ตัวเองต้องจัดการกระทำขึ้น ดังที่ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549: 143) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแผนผังความคิดไว้ว่า แผนผังความคิดเป็นการจัดกลุ่มความคิดรวบยอดเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของความคิดรอง โดยนำเสนอเป็นภาพหรือแผนผังเป็นการนำเสนอความสัมพันธ์ของเนื้อที่มีการโยงความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน ทำให้ง่ายต่อการอ่าน เพิ่มความคงทนในการเรียนรู้ เพิ่มการมีเหตุผล และพัฒนาด้านการจำ มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้โดยเริ่มจาก การคิด การวางแผนการนำเสนอ การช่วยในการจำ ทำความเข้าใจเรื่อง และสรุปบทเรียน สอดคล้องกับ ทิศนา แขมมณี (2551: 236) กล่าวถึงผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบผังกราฟิก ซึ่งแผนผังความคิดเป็นรูปแบบหนึ่งของผังกราฟิก ไว้ว่า ผู้เรียนจะมีความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่เรียน และจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดี นอกจากนั้นยังได้เรียนรู้การใช้ผังกราฟิกการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้เนื้อหาสาระอื่น ๆ ได้อีกมาก นอกจากนี้แผนผังความคิดช่วยให้ประหยัดเวลา ในการเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดกลุ่มเนื้อหา การปรับปรุงการระลึก การสร้างสมความคิดสร้างสรรค์ มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับการคิดไตร่ตรองและการเรียนรู้ แผนที่ความคิดสามารถใช้กับผู้เรียนทุกวิชา นักเรียนทบทวนบทเรียนจากแผนที่ความคิด (สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์, 2540: 21) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ กานต์ชนก ด้วงตะกั่ว (2557) และนงนุช จันทร์รักษ์ (2557) กล่าวถึงผลการวิจัยที่นำแผนผังความคิดไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในทำนองเดียวกันว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน
ผู้วิจัยเห็นว่ารูปแบบการสอนมโนทัศน์และเทคนิคการสอนด้วยแผนผังความคิดที่กล่าวมา ในข้างต้น เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการคิด ช่วยให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้มโนทัศน์ของเนื้อหาสาระหลักการใช้ภาษา เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย อย่างเข้าใจ และสามารถให้คำนิยามของมโนทัศน์นั้นด้วยตนเองปฏิบัติด้วยตนเอง ผู้วิจัยจึงมีความประสงค์ที่จะ นำการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด มาใช้ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด
2. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด
คำถามการวิจัย
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิดสูงกว่าก่อนเรียนหรือไม่
2. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด อยู่ในระดับใด
สมมุติฐานการวิจัย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด
ขอบเขตการวิจัย
เพื่อให้การวิจัยครั้งนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตของการวิจัย ไว้ดังนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนอยู่ใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย จำนวน 16 ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งหมด 765 คน
1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/12 ที่เรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย จำนวน 50 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยการจับสลาก ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม
2. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
2.1 ตัวแปรต้น (Independent Variables) ได้แก่ รูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด
2.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variables) ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย และความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนมโนทัศน์ร่วมกับแผนผังความคิด
3. เนื้อหา
ผู้วิจัยกำหนดเนื้อหาเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้แก่
3.1 คำซ้ำ
3.2 คำซ้อน
3.3 คำประสม
3.4 คำสมาส
โดยยึดตามตัวชี้วัดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551
4. ระยะเวลา
ระยะเวลาในการทดลอง ดำเนินการทดลอง ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้ การทดลอง 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 2 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที รวม 8 คาบเรียน ไม่รวมทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน