ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

ผู้วิจัย นายสุลายมาน บากา ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ

โรงเรียน โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี

ปีการศึกษา 2566

บทคัดย่อ

งานวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ดังนี้ 2.1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการเรียนรู้ 2.2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการเรียนรู้ 2.3) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนรู้ 2.4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ 3) เพื่อศึกษาผลของการขยายผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้ ดังนี้ 3.1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของนักเรียนขยายผล 3.2) เปรียบเทียบความสามารถในการคิด เชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการเรียนรู้ ของนักเรียนขยายผล 3.3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ของนักเรียนขยายผล 4) เปรียบเทียบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของกลุ่มตัวอย่างและนักเรียนขยายผล 5) เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของกลุ่มตัวอย่างและนักเรียนขยายผล และ 6) เพื่อประเมินคุณภาพของรูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หลังการใช้งาน ใน 4 มาตรฐาน ได้แก่ (1) ด้านความถูกต้อง (2) ด้านความเหมาะสม (3) ด้านความเป็นไปได้ และ (4) ด้านอรรถประโยชน์ โดยผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย (Participants) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียน เบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 35 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการขยายผลเป็นนักเรียนโรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล จำนวน 36 คน นักเรียนโรงเรียนสุวรรณไพบูลย์ จำนวน 32 คน และ โรงเรียนสะนอพิทยาคม จำนวน 19 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 2) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม จำนวน 4 ชุด 3) แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จำนวน 30 แผน 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม จำนวน 20 ข้อ 5) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จำนวน 4 ข้อ 6) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีการต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และ 7) เครื่องมือที่ใช้ในการเมินรูปแบบการเรียนรู้หลังใช้งาน คือ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย ในมาตรฐานด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และอรรถประโยชน์ ของรูปแบบการเรียนรู้ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า

1. รูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่สร้างขึ้นประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ของรูปแบบ 4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ของรูปแบบ และ 5) การวัดและประเมินผลของรูปแบบ สำหรับองค์ประกอบ 4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ของรูปแบบ ประกอบด้วยขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอนได้แก่ ขั้นที่ 1 รวบรวมความรู้เดิม (C : Collecting prior Knowledge) ขั้นที่ 2 เติมความรู้ใหม่ (R : Refilling new Knowledge) ขั้นที่ 3 ฝึกการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (A : Analytical thinking for solving mathematical problems) ขั้นที่ 4 สรุปและแลกเปลี่ยน (C : Conclusion and Sharing) และ ขั้นที่ 5 ทำต่อไป (K : Keeping up) สำหรับขั้นที่ 3 แนวทางการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ที่ได้จากการสังเคราะห์ มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ระบุสิ่งที่ต้องการแก้ปัญหา 2) หาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง 3) หาแนวทางดำเนินการ 4) ดำเนินการตามแผน และ 5) ตรวจสอบ หรือเลือกแนวทางที่ดีที่สุด มีผลการตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการเรียนรู้ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน พบว่า โดยภาพรวมรูปแบบการเรียนรู้มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (x̄= 4.68, S.D. = 0.47) แสดงให้เห็นว่ารูปแบบการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมีคุณภาพสามารถนำไปใช้ได้

2. ผลของการใช้รูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ พบว่า

2.1 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

2.2 นักเรียนมีความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

2.3 ค่าดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ มีค่าเท่ากับ .7659

2.4 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.56, S.D. = 0.57)

3. ผลของการขยายผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ส่งเสริมความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์

3.1) นักเรียนขยายผลมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

3.2) นักเรียนขยายผลมีความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

3.3) นักเรียนขยายผลมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ตามวงจร C-R-A-C-K ที่ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ อยู่ในระดับมากที่สุด

4. กลุ่มตัวอย่างและนักเรียนขยายผลมีคะแนนเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนไม่แตกต่างกัน

5. กลุ่มตัวอย่างและนักเรียนขยายผลมีคะแนนเฉลี่ยของความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เพื่อแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังเรียนไม่แตกต่างกัน

6. ผลการประเมินผลหลังใช้รูปแบบการเรียนรู้ พบว่า 1) ด้านความถูกต้อง อยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.74, S.D. = 0.46) 2) ด้านความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.71, S.D. = 0.45) 3) ด้านความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.67, S.D. = 0.49) และ 4) ด้านอรรถประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.73, S.D. = 0.46)

โพสต์โดย สุลายมาน : [21 ก.ค. 2566 เวลา 12:02 น.]
อ่าน [1443] ไอพี : 119.42.90.35
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 15,355 ครั้ง
พระคงคา
พระคงคา

เปิดอ่าน 24,433 ครั้ง
ปลูกข่าข้างบ่อปลา สร้างรายได้ถึง 400,000 บาท/ไร่
ปลูกข่าข้างบ่อปลา สร้างรายได้ถึง 400,000 บาท/ไร่

เปิดอ่าน 21,540 ครั้ง
คุณสมบัติของ e-Learning
คุณสมบัติของ e-Learning

เปิดอ่าน 1,118 ครั้ง
10 ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้นำ
10 ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้นำ

เปิดอ่าน 12,800 ครั้ง
"เด็กรุ่นใหม่" ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด?
"เด็กรุ่นใหม่" ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด?

เปิดอ่าน 24,243 ครั้ง
แบบเต็ม ๆ อีกครั้ง สำหรับชุดประจำชาติไทยสู่เวทีสากล
แบบเต็ม ๆ อีกครั้ง สำหรับชุดประจำชาติไทยสู่เวทีสากล

เปิดอ่าน 11,662 ครั้ง
‘หมอธี’ เดินหน้าล้างบาง ‘กระทรวงครู’ ขจัด ‘เหลือบริ้นไร’ วงการศึกษาไทย
‘หมอธี’ เดินหน้าล้างบาง ‘กระทรวงครู’ ขจัด ‘เหลือบริ้นไร’ วงการศึกษาไทย

เปิดอ่าน 15,863 ครั้ง
คลิป โอบามา เต้นกังนัมสไตล์
คลิป โอบามา เต้นกังนัมสไตล์

เปิดอ่าน 3,679 ครั้ง
กรมอนามัยแนะนำเด็กไทย ดื่มนมจืด 2 แก้ว ทุกวัน เพิ่มความสูงได้
กรมอนามัยแนะนำเด็กไทย ดื่มนมจืด 2 แก้ว ทุกวัน เพิ่มความสูงได้

เปิดอ่าน 34,315 ครั้ง
กินเจ-มังสวิรัติ ต่างกันอย่างไร
กินเจ-มังสวิรัติ ต่างกันอย่างไร

เปิดอ่าน 21,689 ครั้ง
"ผักกูด" ผักที่อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็ก
"ผักกูด" ผักที่อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็ก

เปิดอ่าน 10,492 ครั้ง
ระวังเชื้อก่อโรคในน้ำแข็ง
ระวังเชื้อก่อโรคในน้ำแข็ง

เปิดอ่าน 8,887 ครั้ง
พบกล้องโทรทรรศน์
พบกล้องโทรทรรศน์'ไอสไตน์'ที่หายสาบสูญไปนาน

เปิดอ่าน 9,743 ครั้ง
LINE ขู่ หากพบส่งข้อความหลอกให้แชร์ โดนระงับบัญชีถาวรแน่
LINE ขู่ หากพบส่งข้อความหลอกให้แชร์ โดนระงับบัญชีถาวรแน่

เปิดอ่าน 5,655 ครั้ง
วันเกิด...บอกนิสัยการทำงาน
วันเกิด...บอกนิสัยการทำงาน

เปิดอ่าน 21,143 ครั้ง
วิธีดูสุริยุปราคาที่ถูกต้อง
วิธีดูสุริยุปราคาที่ถูกต้อง
เปิดอ่าน 16,118 ครั้ง
ดื่มน้ำ 8 แก้วไม่เพียงพอแล้ว
ดื่มน้ำ 8 แก้วไม่เพียงพอแล้ว
เปิดอ่าน 9,030 ครั้ง
กรมทางหลวงแนะ 13 เส้นทางเลี่ยงขึ้นเหนือ-ล่องใต้ ช่วงสงกรานต์
กรมทางหลวงแนะ 13 เส้นทางเลี่ยงขึ้นเหนือ-ล่องใต้ ช่วงสงกรานต์
เปิดอ่าน 35,638 ครั้ง
ครูธุรการทั่วประเทศ ขอบรรจุเป็นพนักงานราชการ รายการ สถานีประชาชน สถานี ThaiPBS 14 ส.ค.2558
ครูธุรการทั่วประเทศ ขอบรรจุเป็นพนักงานราชการ รายการ สถานีประชาชน สถานี ThaiPBS 14 ส.ค.2558
เปิดอ่าน 106,173 ครั้ง
ทฤษฎีกลุ่มพุทธิปัญญานิยม
ทฤษฎีกลุ่มพุทธิปัญญานิยม

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ