โรงเรียนวัดบ้านนา (ประชาชนรังสฤษฎิ์) ได้จัดทำหลักสูตรสถานศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โดยจัดการศึกษาให้เด็กระดับปฐมวัยตั้งแต่อายุ ๓ -๖ ปี จัดในรูปแบบของกิจกรรมบูรณาการผ่านการเล่นและลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เกิดการเรียนรู้ได้พัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญา กิจกรรมที่จัดในแต่ละวัน อาจใช้ชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละหน่วย แต่ทั้งนี้ประสบการณ์ที่จัดจะต้องครอบคลุมประสบการณ์สำคัญที่กำหนดในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย และควรยืดหยุ่นให้มีสาระที่ควรเรียนรู้ที่เด็กสนใจและสาระที่ควรเรียนรู้ที่ผู้สอนกำหนด เมื่อเด็กได้รับประสบการณ์สำคัญและทำกิจกรรมในแต่ละหัวเรื่องแล้วเด็กจะเกิดแนวคิดตามที่ได้เสนอแนะในหลักสูตร (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. 2560 : 41)
จากการวิเคราะห์หลักสูตรปฐมวัยและวิเคราะห์ปัญหาจากการประเมินตนเองของสถานศึกษาระดับปฐมวัย ปีการศึกษา 2565 ในส่วนของจุดที่ควรพัฒนา คือ ด้านการจัดประสบการณ์ที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ แล้วนั้น จึงมีแนวคิดจะสอดแทรก การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการผ่านการเล่น ลูสพารตส์ (Loose Parts) เพราะการเล่น เป็นของคู่กัน เด็กๆส่วนใหญ่ชอบเล่น ใช้การเล่นส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแนวคิดของเฟรอเบล (Froeble) เชื่อว่าควรส่งเสริมพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็กด้วยการกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างเสรี การเล่นเป็นการทำงานและการเรียนรู้ของเด็กการปฏิบัติการพัฒนาเด็กจัดกิจกรรมเรียนรู้ผ่านการเล่นอย่างเสรี และทฤษฎี แนวคิดแบบ มอนเตสซอรี (Montesssori) เป็นแนวคิดของจิตแพทย์หญิงชาวอิตาลีชื่อ มาเรีย มอนเตสซอรี่ ผู้เชื่อว่า การให้การศึกษาในระยะแรก ไม่ใช่การเอาความรู้ไปบอกเด็ก แต่ควรปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการตามธรรมชาติของเขา ซึ่งพบว่าการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการผ่านการเล่นลูสพารตส์ (Loose Parts) ส่งผลกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านคุณภาพเด็กในทุกๆด้าน คือ ด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญา
การเจริญเติบโตของเด็ก ปฐมวัยเกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์ โดยมีแบบแผนที่แตกต่างกันออกไปจากพัฒนาการด้านอื่นๆ Torrance ได้สรุปพัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์เด็ก ช่วงอายุ 2-4 ปี เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากประสบการณ์ตรง และประสาทสัมผัสที่พร้อมสำหรับสิ่งแปลกใหม่ตามธรรมชาติ เริ่มมีความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง มักทำในสิ่งที่เกินความสามารถของตนเอง ชอบจินตนาการ จวบจนอายุช่วง 4-6 ปี เด็กเริ่มสนุกสนานกับการวางแผน การเล่นและสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ แม้จะไม่เข้าใจในเหตุผลมากนัก เด็กชอบทดลองเล่นบทบาทสมมติต่างๆ โดยใช้จินตนาการของเด็กเอง
ความคิดสร้างสรรค์มีองค์ประกอบสำคัญที่ได้รับอิทธิพลมาจากทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของ
กิลฟอร์ด (Guilford, 1967) ที่กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองที่สามารถคิดได้หลายทิศทางหรือเรียกว่า การคิดแบบอเนกนัย (Divergent Thinking) ซึ่งประกอบด้วยลักษณะหลักเทียบได้กับ 4 มิติ ดังนี้
1. ความคิดริเริ่ม (Originality) เป็นความคิดที่แปลกใหม่ แตกต่างจากความคิดทั่ว ๆ ไป ซึ่งเราสามารถพิจารณาได้จากลักษณะทางกระบวนการ ลักษณะของบุคคลและลักษณะของผลงานที่ปรากฏ
2. ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) เป็นความสามารถของการคิดในเชิงปริมาณ ความคิดหรือคำตอบที่หลากหลายภายใต้เวลาที่จำกัด ซึ่งความคิดลักษณะนี้สามารถแบ่งเป็นความคิดคล่องแคล่วในด้านภาษาหรือถ้อยคำ (Word Fluency) ด้าน การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ (Associational Fluency) ด้านการแสดงออก (Expressional Fluency) และด้านการคิด (Ideational Fluency)
3. ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) เป็นความสามารถของการคิดในการหาคำตอบได้หลาย ๆ แนวทาง โดยสามารถเกิดขึ้นในทันที (Spontaneous Flexibility) และเกิดขึ้นโดยการดัดแปลงจากสิ่งเดียวเป็นหลายสิ่ง (Adaptive Flexibility)
4. ความคิดละเอียดลออ (Elaboration) เป็นความคิดในรายละเอียดหรือขยายความคิดหลัก ความคิดนี้จะเป็นคุณลักษณะสำคัญในการสนับสนุนผลงานที่แปลกใหม่ให้เห็นภาพชัดเจน หรือเป็นแผนงานที่สมบูรณ์ขึ้น ทั้งนี้ศักยภาพของความคิดละเอียดลออจะขึ้นอยู่กับเพศ วัย และทักษะการสังเกตความคิดสร้างสรรค์เป็นการคิดแบบอเนกนัย (Divergent Thinking) หรือเป็นความคิดที่มีหลากหลายทิศทาง หลากหลายแง่มุม ซึ่งประกอบด้วยลักษณะหลัก 4 ด้าน ได้แก่ ความคิดริเริ่ม (Originality) ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) และความคิดละเอียดลออ (Elaboration)
ในการเล่นนั้น จะต้องมีของเล่น หรือวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาประกอบการเล่น ซึ่งในปัจจุบันนั้น ภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทอย่างมาก ของเล่นจะถูกผลิตขึ้น วัสดุที่เป็นสิ่งสังเคราะห์ อย่างพลาสติก และโลหะ มีการผลิตอย่างมาก และมีลักษะเหมือนกัน และต้องใช้เงินในการซื้อ ทำให้เด็กกลุ่มหนึ่งไม่มีโอกาสได้มีประสบการณ์กับของเล่นตามกระแสนิยมเหล่านั้น จนหลงลืมกันไปว่า ในอดีตนั้น เราสามารถสร้างประสบการณ์ได้เพียงหยิบเอาวัสดุรอบๆตัวมาเล่น โดยที่วัสดุเหล่านั้น สามารถ เป็นอะไรก็ได้ ตามการเล่นที่หลากหลาย เช่น เด็กๆ อาจใช้ใบไม้เป็นธนบัตร หรือเป็นเงินในการเล่นขายของ หรือการนำวัสดุประเภทกระดาษต่างๆ อาจเป็นกระดาษที่ใช้แล้ว หรือกระดาษสีมาพับเป็นสิ่งต่างๆตามจินตนาการของพวกเข้า ไม่ว่าจะเป็นจรวด เครื่องบิน ซึ่งเป็นยาพาหนะยอดนิยมที่เด็กๆชื่นชอบและสามารถล่องลอยไปในอากาศได้ หรือจะนำมาพับเป็นเรือแล้วนำมาเล่น หรือนำมาทดลองการลอยจริงๆ ดูว่าจะได้ผลอย่างไร ซึ่งเด็กๆจะเกิดการเรียนรู้สร้างประสบการณ์จากการเล่นด้วยตนเอง วัสดุหรือของเล่นที่ดีมีคุณภาพนั้นไม่ได้อยู่ที่ราคาแพง แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำวัสดุเรานั้น มาใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือเกิดการ
เรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใด การเล่นคือการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของเด็กๆ และการเรียนรู้ไม่ควรมีข้อจำกัด ด้วยเหตุนี้นี่เองเราจึงอยากให้ทุกคน รู้จักการนำวัสดุรอบๆตัวมาใช้ประกอบการเล่น เพื่อให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้ ที่จะต่อยอดไปสู่การสร้างทักษะพื้นฐาน เรามาทำความรู้จักและเรียนรู้กับลูสพารตส์ (Loose Parts) ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ
ลูสพารตส์ (Loose Parts) คืออุปกรณ์หลากหลายที่เคลื่อนย้ายกลับไปกลับมา ถือไปไหนมาไหนได้ เอามาผสมต่อเติมเรียงแถว ถอดออก หรือ ต่อเข้า ออกแบบสร้างใหม่ได้ เป็นการเล่นแบบไม่มีทิศทาง ไม่มีรูปแบบตายตัว เป็นการเล่นปลายเปิด เด็กสามารถ เล่า เล่น ต่อ สร้างเรื่องราวต่างๆ ได้ตามจินตนาการ เชื่อมโยงอย่างไร้ขอบเขต ในแบบเฉพาะเด็กเอง เป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เกิดประสบการณ์ใหม่ ที่มีความเฉพาะของแต่ละคนอย่างอิสระ ทำให้เด็กเห็นคุณค่าสิ่งรอบตัว ประหยัดสุด ประโยชน์สูงสุด สื่อ ลูสพารตส์ (Loose Parts)