แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
ชื่อผู้วิจัย นาฏกนิษฐ์ ทิศทะษะ
ปีการศึกษา 2565
บทคัดย่อ
วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 354 คน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ และศึกษาโรงเรียนที่มีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 6 คน 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เลือกแบบเจาะจง 3) ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถามประเมินแนวทาง สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เนื้อหา และวิเคราะห์ลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นด้วยค่าดัชนี PNIModified ผลการวิจัยพบว่า
1) สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และลำดับความต้องการจำเป็นเรียงลำดับความต้องการจำเป็น 1) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ 3) ด้านการวัดและประเมินผล และ 4) ด้านการผลิตและการใช้สื่อ
2) แนวทางการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) วัตุประสงค์ 2) วิธีดำเนินการ และ 3) เงื่อนไขความสำเร็จ แนวทางการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด
3) การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยรวมมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ระดับมากที่สุด
คำสำคัญ : แนวทางการพัฒนา, การนิเทศภายใน, การจัดการเรียนรู้ยุคดิจิทัล
บทความ (ประกอบบทตัดย่อ)
บทนำ
การดําเนินงานนิเทศภายใน เป็นงานที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงของผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งผู้บริหารต้องเป็นบุคคลที่สามารถแสดงบทบาทในการนิเทศภายในได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้บริหารจะต้องเป็นทั้งนักบริหารและนักวิชาการ มีความรู้ความสามารถในเชิงบริหารจัดการ และมีคุณสมบัติเป็นนักวิชาการทีรอบรู้ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งผู้บริหารจะต้องเป็นผู้บริหารมืออาชีพ มีความสามารถทั้งในเชิงบริหารและเชิงวิชาการควบคู่กันไป จึงจะนำองค์กรสู่ความสำเร็จได้ (สุรศักดิ์ ปาเฮ, 2545)
การนิเทศการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน จำเป็นต้องนำการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาร่วมด้วย เนื่องจากก่อให้เกิดการสร้างการรับรู้ระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดวิธีการนิเทศ และกิจกรรมการนิเทศที่เหมาะสมตามสภาพปัญหาและความต้องการ โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อเทคโนโลยีในการออกแบบการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้ นักเรียนได้เรียนรู้ภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป (มุกดา เลขะวิพัฒน์, 2563)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ มีรูปแบบการดำเนินงานติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และนิเทศการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา โดยมีขอบข่ายสาระสำคัญในการประเมินตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน 4 ด้าน ตามตัวบ่งชี้และระดับคุณภาพ พร้อมทั้งนำประเด็นตัวบ่งชี้ของยุทธศาสตร์ในแผนปฏิบัติราชการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้สถานศึกษาในสังกัดให้มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย นิเทศติดตาม และประเมินผลการบริหารและการดำเนินการ โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัด (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์, 2563)
จากสภาพปัญหาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่ผู้บริหารและครูต้องคำนึงถึงและพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ทั้งด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ ด้านการวัดและประเมินผล และด้านการผลิตและการใช้สื่อ เพื่อพัฒนาคุณภาพการนิเทศภายในให้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษา มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลต่อสถานศึกษาต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการศึกษาของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
2. เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
3. เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
วิธีการดำเนินการวิจัย
การวิจัยเรื่อง แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ใช้กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบผสมผสาน (Mixed Method) มีขั้นตอนในการดำเนินงานการวิจัย เป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
ตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น
1. ขั้นตอนการดำเนินการ
1.1 ผู้วิจัยศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา จากเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการสร้างข้อสรุปจากการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) จากข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ แล้วนำมาสร้างกรอบแนวคิดการวิจัย ได้องค์ประกอบและตัวชี้วัดของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ 2) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3) ด้านการผลิตและการใช้สื่อ 4) ด้านการวัดและประเมินผล
1.2 นำองค์ประกอบ และตัวบ่งชี้ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ มาใช้สร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น
1.3 ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง
1.4 วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ มาหาดัชนีความต้องการจำเป็น (Priority Needs Index)
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2.1 ประชากร ได้แก่ ผู้บริหาร และครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จำนวน 4,218 คน
2.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหาร และครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จำนวน 354 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) จากการใช้เกณฑ์ตามตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน (บุญชม ศรีสะอาด, 2553) โดยผู้วิจัยได้ทำการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ระดับความเชื่อมั่นที่ 95% และระดับความคลาดเคลื่อนของกลุ่มตัวอย่างที่ .05
3. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
3.1 แบบสอบถามเพื่อการวิจัย เป็นแบบสอบถามสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบ รายการ (Checklist) เป็นข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามที่เป็นข้อคำถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ตามแบบของลิเคิร์ท (Likert Type)
3.2 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ
แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ มีวิธีการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้
1. ศึกษาหลักเกณฑ์ และวิธีการสร้างแบบสอบถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่า
2. ร่างแบบสอบถามโดยใช้ประเด็นองค์ประกอบและตัวชี้วัดที่ได้จากการศึกษามาเป็นกรอบการสร้างแบบสอบถาม
3. นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความครอบคลุมของเนื้อหาแล้วนำข้อเสนอแนะที่ได้ไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
4. การตรวจคุณภาพของแบบสอบถาม โดยการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ผู้วิจัยนำแบบสอบถามฉบับร่างที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและผ่านการพิจารณาจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์แล้ว นำเสนอผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ความเหมาะสมและความชัดเจนของข้อคำถาม ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยวิธีการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาใช้เทคนิค IOC (Index of Item-Objective Congruence) หรือดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถาม
5. นำแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญแล้วนำไปทดลองใช้ เพื่อหาคุณภาพของแบบสอบถาม โดยนำไปทดลองใช้ (Try Out) กับผู้บริหารและครู ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน
6. นำแบบสอบถามที่ทดลองใช้นำมาหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่าย ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (ItemTotal Correlation) คัดเลือกข้อคำถามที่มีค่า 0.20 ขึ้นไปใช้ โดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่าย โดยดูจากค่าความสัมพันธ์จากคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation) ข้อคำถามมีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่างการตรวจสอบค่าความเชื่อมั่น ผู้วิจัยได้นำข้อคำถามที่มีค่าอำนาจจำแนกตามเกณฑ์ไปหาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตามวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบราค (Cronbachs Alpha Coefficient)
7. จัดพิมพ์แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ แล้วนำไปเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างต่อไป
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
4.1 ผู้วิจัยดำเนินการขอหนังสือจากวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ เพื่อขออนุญาตและอำนวยความสะดวกในการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จำนวน 354 คน
4.2 เมื่อผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วนำหนังสือที่ผ่านการพิจารณา เสนอต่อผู้อำนวยการโรงเรียนในสังกัด เพื่ออำนวยความสะดวกในการเก็บข้อมูล
4.3 ผู้วิจัยนำแบบสอบถามพร้อมหนังสือขอความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม จัดส่งไปยังสถานศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทางออนไลน์
5. การจัดกระทำและวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลจากแบบสอบถาม ดังนี้
5.1 การจัดกระทำข้อมูล
5.1.1 ตรวจสอบจำนวนและความสมบูรณ์ของแบบสอบถามที่ได้รับคืนมาแต่ละฉบับใช้วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ดังนี้
5.1.1.1 วิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ของแบบสอบถาม ที่มีลักษณะเป็นข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสถานภาพ เพศ อายุ ประสบการณ์ วิเคราะห์โดยใช้ค่าความถี่ (Frequency) และ ค่าร้อยละ Percentage)
5.1.1.2 วิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 2 ของแบบสอบถาม ที่มีลักษณะข้อมูล ประเภทมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการดำเนินการหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
5.2 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
5.2.1 สถิติพื้นฐาน
5.2.1.1 ร้อยละ (Percentage)
5.2.1.2 ค่าเฉลี่ย (Mean)
5.2.1.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.)
5.2.2 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ
5.2.2.1 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) โดยใช้สูตรของครอนบาค (Cronbach) และค่าอำนาจจำแนกรายข้อ โดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายระหว่างคะแนนรายข้อคำถามกับคะแนนตามสูตรหาค่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearsons Product Moment Correlation Coefficient)
5.2.2.2 การหาค่าความตรงด้านเนื้อหา (Content Validity) ของ แบบสอบถามโดยใช้สูตรดัชนีความสอดคล้อง (Index of item Objective Congruence: IOC)
5.3. วิเคราะห์ความต้องการความจำเป็น (Need Assessment) โดยนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์มาหาดัชนีความต้องการจำเป็น (Priority Needs Index) เพื่อจัดลำดับความต้องการความจำเป็น
ตอนที่ 2 ศึกษา Best Practices โรงเรียนที่ปฏิบัติมที่เป็นเลิศด้านการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล
1. ขั้นตอนการดำเนินการ
1. ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนโรงเรียนละ 2 คน จำนวน 3 โรงเรียน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 6 คน
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างซึ่งใช้คำถามที่ประกอบด้วยข้อมูลทั่วไป และความคิดเห็นเกี่ยวกับการเสริมสร้างภาวะผู้นำดิจิทัลของครู ซึ่งมีส่วนประกอบดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับตำแหน่งทางการบริหาร ตำแหน่งทางวิชาการ คุณวุฒิสูงสุด สถานที่ทำงาน ประสบการณ์ในการทำงาน
ตอนที่ 2 ความคิดเห็นเกี่ยวกับการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล
2.2 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ
2.2.1 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล
2.2.2 สร้างเป็นข้อคำถามของแบบสัมภาษณ์
2.2.3 นำข้อคำถามของแบบสัมภาษณ์ที่สร้างได้ไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบความถูกต้องของแบบสัมภาษณ์ สำนวนภาษา และปรับปรุงตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา
2.2.4 นำแบบสัมภาษณ์ที่สร้างขึ้นเรียบร้อยแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญ (ชุดเดิม)
ในการตรวจสอบเครื่องมือวิจัย พิจารณาความสอดคล้องระหว่างประเด็นข้อคำถามในการสัมภาษณ์ กับวัตถุประสงค์และนิยามศัพท์เฉพาะ ในขั้นตอนนี้ใช้การวิเคราะห์ความสอดคล้อง (IOC : Index of Congruence) โดยผู้วิจัยเลือกข้อคำถามที่มีค่าความสอดคล้องตั้งแต่ .60 ขึ้นไป
2.2.5 ปรับปรุงแบบสัมภาษณ์ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญไปจัดทำเป็นแบบ สัมภาษณ์ฉบับสมบูรณ์
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ให้ข้อมูลและสัมภาษณ์ด้วยตนเอง โดยใช้แบบสอบถามที่สร้างขึ้น ผู้วิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์และจัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีการจดบันทึก ใช้เครื่องบันทึกเสียงและกล้องถ่ายภาพ โดยมีรายละเอียดดังนี้
3.1 ขอหนังสือจากวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ณ โรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่ดี จำนวน 3 โรงเรียน
3.2 นำหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการตอบแบบสัมภาษณ์ส่งถึงกลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้วยตนเอง พร้อมนัดหมายวันเวลาที่กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสะดวกในการให้สัมภาษณ์กับผู้วิจัย
3.3 ดำเนินการสัมภาษณ์ตามวันเวลาที่นัดหมายพร้อมเก็บบันทึกข้อมูล โดยละเอียด
4. การจัดกระทำข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
4.1 นำข้อมูลที่ได้จากแบบบันทึกการสัมภาษณ์มาเรียบเรียง จัดระเบียบ ข้อมูล จัดกลุ่มเนื้อหาตามองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อย
4.2 ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
ขั้นตอนที่ 1 ยกร่างแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยดำเนินการนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในระยะที่ 1 และการศึกษา Best Practices เกี่ยวกับการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล มาพัฒนาเป็นแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
ขั้นตอนที่ 2 การตรวจสอบยืนยันแนวทาง
1. ผู้ทรงคุณวุฒิ ตรวจสอบยืนยันแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จำนวน 5 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
2.1 ประเภทและลักษณะของเครื่องมือ
แบบบันทึกการสัมภาษณ์ ของผู้ทรงคุณวุฒิด้านความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
2.2 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ
2.2.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล
2.2.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบสัมภาษณ์
2.2.3 ร่างแบบบันทึกการสัมภาษณ์ โดยใช้ประเด็นสำคัญของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ที่ได้จากการศึกษามาเป็นกรอบการสร้าง
2.2.4 นำไปเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบความถูกต้อง และปรับปรุงตามคำแนะนำ
2.2.5 นำแบบบันทึกการสัมภาษณ์ที่ผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษา วิทยานิพนธ์แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญ (ชุดเดิม) พิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับความสอดคล้องของข้อคำถาม โดยใช้เทคนิค IOC (Index of Congruence) โดยผู้วิจัยเลือกข้อคำถามที่มีค่าความสอดคล้อง ตั้งแต่ .60 ขึ้นไป
2.2.6 จัดทำแบบสัมภาษณ์ฉบับจริงและนำไปเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิต่อไป
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.1 ขอหนังสือราชการในการเก็บข้อมูลจากวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุมถึงผู้ทรงคุณวุฒิ
3.2 นำหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการตอบแบบสัมภาษณ์ส่งถึงผู้ทรงคุณวุฒิให้ข้อมูลด้วยตนเอง พร้อมนัดหมายวันเวลาที่กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสะดวกในการให้สัมภาษณ์กับผู้วิจัย
3.3 ดำเนินการสัมภาษณ์ตามวันเวลาที่นัดหมายพร้อมเก็บบันทึกข้อมูล โดยละเอียด
4. การจัดกระทำกับข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ของแบบบันทึกการสัมภาษณ์
5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
5.1 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ ได้แก่ ดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
5.2 การวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ขั้นตอนที่ 3 ประเมินความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดย
1. ผู้ทรงคุณวุฒิ (ชุดเดิม) จำนวน 5 คน ประเมินความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
2.1 ประเภทและลักษณะของเครื่องมือ
แบบประเมินความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยจำแนกข้อคำถามเป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ของลิเคอร์ท (Likert Scale)
2.2 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ
2.2.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
2.2.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบประเมินและออกแบบแบบประเมิน
2.2.3 ร่างแบบประเมินโดยใช้ประเด็นสำคัญของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ที่ได้จากการศึกษามาเป็นกรอบการสร้าง
2.2.4 นำไปเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบความถูกต้อง และปรับปรุงตามคำแนะนำ
2.2.5 นำแบบประเมินที่ผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์แล้ว ให้ผู้เชี่ยวชาญ (ชุดเดิม) พิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับความสอดคล้องของข้อคำถาม โดยใช้เทคนิค IOC (Index of Congruence) โดยผู้วิจัยเลือกข้อคำถามที่มีค่าความสอดคล้องตั้งแต่ .60 ขึ้นไป
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.1 ขอหนังสือราชการในการเก็บข้อมูลจากวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ถึงผู้ทรงคุณวุฒิ
3.2 ดำเนินการเก็บข้อมูล ประเมินความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
4. การจัดกระทำกับข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
4.1 ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ในการตอบแบบประเมิน
4.2 กำหนดรหัส ให้คะแนน และบันทึกข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ และวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลแบบประเมินโดยใช้การหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยกำหนดเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมาะสม (บุญชม ศรีสะอาด, 2553)
5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
5.1 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ ได้แก่ ดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
5.2 สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ระยะที่ 3 ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
1. นำแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ (ฉบับสมบูรณ์) และและแบบสอบถามเพื่อประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ เสนอต่อผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 10 คน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling)
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
2.1 ประเภทและลักษณะของเครื่องมือ
แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยจำแนกข้อคำถามเป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ของลิเคอร์ท (Likert Scale)
2.2 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ
2.2.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
2.2.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบประเมินและออกแบบแบบประเมิน
2.2.3 ร่างแบบประเมินโดยใช้ประเด็นสำคัญของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดย ที่ได้จากการศึกษามาเป็นกรอบการสร้าง
2.2.4 นำไปเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ตรวจสอบความถูกต้อง และปรับปรุงตามคำแนะนำ
2.2.5 นำแบบประเมินที่ผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์แล้ว ให้ผู้เชี่ยวชาญ (ชุดเดิม) พิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับความสอดคล้องของข้อคำถาม โดยใช้เทคนิค IOC (Index of Congruence) โดยผู้วิจัยเลือกข้อคำถามที่มีค่าความสอดคล้องตั้งแต่ .60 ขึ้นไป
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.1 ขอหนังสือราชการในการเก็บข้อมูลจากวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ถึงผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 10 คน
3.2 ดำเนินการเก็บข้อมูล ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
4. การจัดกระทำกับข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
4.1 ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ในการตอบแบบประเมิน
4.2 กำหนดรหัส ให้คะแนน และบันทึกข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ และวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลแบบประเมินโดยใช้การหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยกำหนดเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมาะสม (บุญชม ศรีสะอาด, 2553)
5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
5.1 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ ได้แก่ ดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
5.2 สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
สรุปผลการวิจัย
1. สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
1.1 สภาพปัจจุบันของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้าน ได้แก่ ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ อยู่ในระดับมาก ด้านด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก ด้านการผลิตและการใช้สื่อ อยู่ในระดับมาก และด้านด้านการวัดและ
ประเมินผล อยู่ในระดับมาก
1.2 สภาพที่พึงประสงค์ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้าน ได้แก่ ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านด้านการผลิตและการใช้สื่อ อยู่ในระดับมากที่สุด และด้านด้านการวัดและประเมินผล อยู่ในระดับมากที่สุด
1.3 ความต้องการจำเป็นของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ พบว่า ลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ ด้านการวัดและประเมินผล และด้านการผลิตและการใช้สื่อ ตามลำดับ
2. แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ พบว่า
2.1 แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ประกอบด้วย 1) วัตถุประสงค์ 2) วิธีดำเนินการ มี 4 ด้าน 28 วิธีดำเนินการ ดังนี้ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มี 7 วิธีดำเนินการ ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ มี 7 วิธีดำเนินการ ด้านการวัดและประเมินผล มี 7 วิธีดำเนินการ และด้านการผลิตและการใช้สื่อ มี 7 วิธีดำเนินการ และ 3) เงื่อนไขความสำเร็จ
2.2 ผลตรวจสอบยืนยันและความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด
3. การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ พบว่า โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด
อภิปรายผล
1. สภาพปัจจุบันของการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบ พบว่า องค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ องค์ประกอบด้านการวัดและประเมินผล รองลงมาคือ องค์ประกอบด้านการผลิตและการใช้สื่อ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าบริบทของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์มีความพร้อมในการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลค่อนข้างเท่ากัน นอกจากนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ได้กำหนดให้โรงเรียนในสังกัดในระดับเขตพื้นที่การศึกษาให้มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย นิเทศติดตาม และประเมินผลการบริหารและการดำเนินการ โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานและโรงเรียนในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อเตรียมรับการนิเทศ ติดตาม สอดคล้องกับงานวิจัยของ ศศิกานต์ พันธ์โนราช (2561) ได้ศึกษาสภาพการดำเนินงานการนิเทศภายในโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายปิ่นมาลา จังหวัดสระแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 7 ผลการศึกษา พบว่าสภาพการดำเนินงานการนิเทศภายในโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายปิ่นมาลา จังหวัดสระแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 7 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก
2. สภาพที่พึงประสงค์ของการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบ พบว่าทุกองค์ประกอบอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยองค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ องค์ประกอบด้านการวัดและประเมินผล รองลงมาคือ องค์ประกอบด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์มีความพร้อมในการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลมาก ด้วยเหตุนี้การนิเทศภายในของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จึงมุ่งหวังเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในการพัฒนาและการมีส่วนร่วมจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและสะท้อนผลการพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา สอดคล้องกับงานวิจัยของ ภูมิพัฒน์ รัดอัน (2564) ได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง แนวทางการนิเทศภายในวิถีใหม่ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตลุ่มน้ำปาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ผลการวิจัย พบว่าสภาพที่พึงประสงค์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
3. แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์พบว่า ประกอบด้วย 1) วัตถุประสงค์ 2) วิธีดำเนินการ มี 4 ด้าน 28 วิธีดำเนินการ ดังนี้ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มี 7 วิธีดำเนินการ ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ มี 7 วิธีดำเนินการ ด้านการวัดและประเมินผล มี 7 วิธีดำเนินการ และด้านการผลิตและการใช้สื่อ มี 7 วิธีดำเนินการ และ 3) เงื่อนไขความสำเร็จ ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศสังเคราะห์ได้องค์ประกอบตัวบ่งชี้ นำไปสร้างแบบสอบถามเก็บข้อมูล และเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์โรงเรียนที่ได้รับรางวัลแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ อีกทั้งนำร่างแนวทางเข้าสู่การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้จึงได้ข้อมูลทั้งประกอบด้วยข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ กำหนดเป็นวิธีดำเนินการอย่างเป็นวิธีดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับงานวิจัย ของ พวงอ้อย ไชยดี (2564) ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนาแนวทางการนิเทศแบบสอนแนะ (Coaching) สำหรับสถานศึกษา สังกัดเทศบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้กำหนดการพัฒนาแนวทางการนิเทศแบบสอนแนะ (Coaching) สำหรับสถานศึกษาสังกัดเทศบาล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย 1) หลักการและเหตุผล 2) ความมุ่งหมาย 3) แนวทางการนิเทศแบบสอนแนะ (Coaching) สำหรับสถานศึกษา มี 4 องค์ประกอบ 4) กลไกในการบริหารจัดการ 5) เงื่อนไขความสำเร็จ
4. การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ผลการประเมินโดย ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 10 คน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้เพราะว่าสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ได้ดำเนินการในการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้เป็นประจำทุกปีการศึกษา จึงมีความรู้ความเข้าใจถึงแนวทางการนิเทศได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับงานวิจัยของ ทิพวรรณ ถาวรโชติ (2564) ได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง รูปแบบการนิเทศด้วยเครือข่ายความร่วมมือเพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการนิเทศด้วยเครือข่ายความร่วมมือเพื่อส่งเสริมประสิทธิผล ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มีผลการประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ พบว่า มีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1.1 สภาพที่พึงประสงค์ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นเดียวกัน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการวัดและประเมินผล รองลงมาคือ ด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการผลิตและการใช้สื่อ แสดงให้เป็นว่าสถานศึกษามีความคาดหวังในการให้สถานศึกษามีการนิเทศด้านการวัดและประเมินผลให้ครูตระหนักถึงการเครื่องมือวัดผลที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่สำคัญ มาพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียนเพื่อหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น และนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีมาใช้ในการนิเทศภายในสถานศึกษามาใช้ให้เกิดประโยชน์ และตรงกับความต้องการของสถานศึกษามากที่สุด
1.2 ความต้องการจำเป็นของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลของผู้บริหาสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ พบว่าด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีความต้องการพัฒนามากที่สุด รองลงมาคือด้านหลักสูตรและการนำไปใช้ ด้านการวัดและประเมินผล และด้านการผลิตและการใช้สื่อ ดังนั้นสถานศึกษาควรให้ครูตระหนักถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพราะถือว่าเป็นหัวใจของการศึกษา เนื่องจากกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งที่จัดขึ้น จะช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดประสบการณ์ และสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ที่ได้รับในขณะปฏิบัติกิจกรรมนั้นจะช่วยทำให้พฤติกรรมของผู้เรียนค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้การนิเทศภายในภายในด้านการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลเกิดประสิทธิภาพ และตรงกับความต้องการของสถานศึกษามากที่สุด
2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับรูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) ในยุคดิจิทัลฯ เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ และเกิดประสบการณ์ใหม่ของผู้วิจัย
2.2 ควรศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับกลยุทธ์การบริหารจัดการการนิเทศภายในที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัลฯ เพื่อให้มีความหลากหลายในประเภทของงานวิจัยด้านการนิเทศและสามารถนาไปใช้ในสถานศึกษาได้อย่างแท้จริง
เอกสารอ้างอิง
ทิพวรรณ ถาวรโชติ. (2564). รูปแบบการนิเทศด้วยเครือข่ายความร่วมมือเพื่อส่งเสริมประสิทธิผลของสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา. วิทยานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณทิต, สาขาวิชาการบริหารการศึกษา,
มหาวิทยาลัยนเรศวร.
บุญชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
พวงอ้อย ไชยดี. (2564). การพัฒนาแนวทางการนิเทศแบบสอนแนะ (Coaching) สำหรับสถานศึกษาสังกัดเทศบาล
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา,
คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ภูมิพัฒน์ รัดอัน. (2564). แนวทางการนิเทศภายในวิถีใหม่ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตลุ่มน้ำปาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษาอุดรธานี. วารสารการบริหารการศึกษาและภาวะผู้นำ, มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. 10(37) 253-262.
มุกดา เลขะวิพัฒน์. (2563). ตกผลึกความคิดชีวิตศึกษานิเทศก์ 30 ปี จากหลักการ ทฤษฎี สู่วิถีปฏิบัติ. แพร่: เลิศไพศาลการพิมพ์.
ศศิกานต์ พันธ์โนราช. (2561) สภาพการดำเนินงานการนิเทศภายในโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายปิ่นมาลา จังหวัดสระแก้ว
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 7. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการบริหารการศึกษา,
คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลัยบูรพา.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์. (2563). แผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานระยะที่ 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.25632565).
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์.
สุรศักดิ์ ปาเฮ. (2545). สู่มิติการเป็นผู้บริหารมืออาชีพ. วารสารวิชาการ. 3(6) 70-75.
Cronbach, L. J. (1990). Essentials of Psychology Testing. New York: Harper Collins.