สภาพปัจจุบัน / ปัญหา
การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ คือจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาที่สำคัญอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ยังต้องการให้นักเรียนมีพัฒนาการ ทางด้านสังคม มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning) ซึ่งเป็นกระบวนการสร้าง หรือพัฒนาองค์ความรู้ขึ้นโดยผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เป็นสิ่งอำนวยประโยชน์อย่างมาก สำหรับการอยู่ร่วมกันในสังคม การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะและส่งผลไปสู่การสร้าง ความเจริญก้าวหน้า และความสำเร็จในการดำเนินชีวิตทั้งด้านการเรียน การประกอบอาชีพ รวมถึง การทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งบุคคลใดที่มีพัฒนาการทางด้านสังคมตามปกติย่อมมีความสามารถ ในการปรับตัวเข้ากับสังคมได้เป็นอย่างดี ย่อมได้รับการยอมรับจากกลุ่ม ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ มั่นคง ปลอดภัย (นพมาศ อุ้งพระ, 2555) ส่งผลให้ได้พัฒนาความสามารถที่มีอยู่ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อตนเองและส่วนรวมอย่างเต็มที่ แต่ในทางตรงข้ามถ้าบุคคลใดในสังคมมีลักษณะการปรับตัวเข้ากับ ผู้อื่นได้ยาก ก็ย่อมส่งผลกระทบมาสู่ตนเองและสังคมด้วย
ประกอบกับระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้มีการปรับลดระยะเวลาเรียนภาควิชาการหรือภาคทฤษฎีลดลง แต่ยังคงไว้ซึ่งเนื้อหาหลักที่ผู้เรียนควรรู้ตามมาตรฐานของหลักสูตร และให้ครูผู้สอนปรับเปลี่ยนวิธีการสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเพิ่มเวลาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงมากขึ้น ภายใต้โครงการ ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ เชื่อมโยง กับการปฏิรูปการเรียนการสอนในยุคประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย ให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้มากขึ้น ครูลดบทบาทการสอนด้วยการบอกเล่า การให้ข้อความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรง ไปเป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมที่จะท าให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลาย ผู้สอนต้องเป็นครูแบบ Actively Teach คือ สอนแบบมีส่วนร่วม จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ตลอดเวลาเป็นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยผู้สอนสามารถนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัดในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ทุกรายวิชา รวมถึงนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้อื่น
กระบวนการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ และการเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอื่น เป็นการพัฒนากลุ่มคนโดยมีการจัดการเรียนรู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กันโดยมีการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรม อารมณ์ และสังคมร่วมกัน ทำให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคดิ เกิดการเรียนที่หลากหลาย ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน เป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีงาม การทำงานร่วมกันทำให้พัฒนาทักษะ
ทางสังคม และทักษะการทำงานที่ดีด้วย แต่สภาพปัญหาจากการสอนนักเรียนประถมศึกษาตอนปลายที่ผ่านมาพบว่า การจัดการเรียนการสอนไม่ได้เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น ถึงจะมีการจัดการเรียนการสอน โดยมีการแบ่งกลุ่มแต่ขาดการพึ่งพาระหว่างสมาชิก สมาชิกขาดความรับผิดชอบ ขาดกระบวนการในการทำงานกลุ่มทำให้เกิดปัญหา คือ ผู้เรียนมีเจตคติที่ไม่ดีต่อการทำงานกลุ่ม โดยเฉพาะผู้เรียนที่มีผลการเรียนต่ำ ซึ่งส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคล
จากปัญหาดังกล่าวผู้นวัตกรรมมีความสนใจที่จะพัฒนาการเรียนรู้ทางการเรียน ในรายวิชาประวัติศาสตร์ เพราะจะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันเพื่อให้กลุ่มผู้เรียนได้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งจะต้องอาศัยเทคนิคต่าง ๆ เข้าไปช่วยในกิจกรรมมากมาย ได้แก่ เทคนิคการสร้างความสนใจ (Engage) เทคนิคการสำรวจและค้นคว้า(Explore) เทคนิคการการอธิบาย (Explain) เทคนิคการขยายความรู้ (Elaborate) และเทคนิคการ ประเมิน (Evaluate)
วิธีการจัดกิจกรรมดังกล่าว จะเป็นวิธีที่เหมาะสมกับผู้เรียน เพราะจะทำให้ผู้เรียนได้มีการปฏิสัมพันธ์กัน และเป็นการเรียนที่ใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ทำให้นักเรียนไม่เบื่อหน่าย และจำเจกับการเรียน
ซึ่งกระบวนการที่นำมาทำนวัตกรรมนี้ เป็นการจัดการศึกษาที่ต้องเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และให้ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข สอดคล้องกับแนวคิดทางการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ ให้ผู้เรียนแต่ละคนได้มีพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองไปตามความสามารถ แต่ต้องมีทักษะในการทำงานร่วมกันทำให้พัฒนาทั้งทักษะทางสังคมและการทำงานที่ดีด้วย ด้วยเหตุนี้ ผู้นวัตกรรมจึงได้นำกิจกรรมการเรียนดังกล่าว มาใช้ในชั้นเรียน ซึ่งน่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุขอย่างแท้จริง และจะเป็นประโยชน์ตลอดจนเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของผู้สอนอีกต่อไป
ผลสำเร็จที่ได้
จะเห็นว่าหลังจากการจัดการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สื่อสไลด์แบบ Active Learning วิชาประวัติศาสตร์ เรื่อง การเสื่อมอำนาจของอาณาจักรอยุธยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ซึ่งเป็นการให้โอกาสนักเรียนได้ทำงาน ค้นคว้า สอบถามอย่างอิสระ ทำกิจกรรม และแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ตามที่ผู้สอนได้เตรียมไว้นั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีพัฒนาการ ในระดับ สูง ในอัตราร้อยละ 80.00 โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลัง การทดลองมากกว่า ก่อนการทดลอง เพิ่มขึ้น 8.00 คะแนน และนักเรียนที่มีร้อยละ ของระดับพัฒนาการ มากที่สุด ได้แก่นักเรียนเลขที่ 2 4 10 11 12 และเลขที่ 13 ระดับพัฒนาการเท่ากับ 55.00 และ การพัฒนาการเรียนรู้ทางการเรียน ของภาพรวม อยู่ในระดับสูง อัตราร้อยละ 80.00
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวิทยสัมพันธ์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และมีทักษะเชิงคิดวิเคราะห์ต่อเนื้อหาวิชาเรียนเพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์ต่อเรียนในชั้นที่สูงขึ้น
2. ครูผู้สอนสามารถพัฒนา และนำสื่อสไลด์แบบ Active Learning ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนวิชาอื่นได้