ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
รายงานการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนราชวินิต มัธยม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1

ชื่อผลงาน การประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนราชวินิต มัธยม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1

ชื่อผู้รายงาน นายสุรเชษฐ์ หิรัญสถิตย์

ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสถานศึกษา

วิทยฐานะ รองผู้อำนวยการชำนาญการ

หน่วยงาน โรงเรียนราชวินิต มัธยม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1

ปีการศึกษา 2565

บทสรุปผู้บริหาร

รายงานการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนราชวินิต มัธยม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อมของโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนราชวินิต มัธยม 2) ประเมินด้านปัจจัยนำเข้าของโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนราชวินิต มัธยม 3) ประเมินด้านกระบวนการของโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน

ราชวินิต มัธยม และ 4) ประเมินด้านผลผลิตของโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนราชวินิต มัธยม กลุ่มตัวอย่างที่ให้ข้อมูลในการประเมิน ประกอบด้วย 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 325 คน ที่ศึกษาในปีการศึกษา 2565 โรงเรียนราชวินิต มัธยม 2) ครูผู้สอนโรงเรียนราชวินิต มัธยม จำนวน 80 คน และ 3) ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนราชวินิต มัธยม จำนวน 325 คน ซึ่งได้มาจากการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างเทียบสัดส่วนจากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie & Morgan จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)

กรอบแนวคิดในการประเมินโครงการใช้รูปแบบซิปป์โมเดล (CIPP Model) ของแดเนียล แอล สตัฟเฟิลบีม (Daniel L. Stufflebeam) ประกอบด้วย 1) ประเมินด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation) 2) ประเมินด้านปัจจัยนำเข้า (Input Evaluation) 3) ประเมินด้านกระบวนการ (Process Evaluation) และ 4) ประเมินด้านผลผลิต (Product Evaluation) และกรอบโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนราชวินิต มัธยม มีทั้งหมด 6 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมที่ 1 พิชิตยอดนักอ่าน กิจกรรมที่ 2 ตามรอยเจ้าฟ้านักอ่าน กิจกรรมที่ 3 สัปดาห์ห้องสมุด (รักการอ่านบนฐานชีวิตวิถีใหม่) กิจกรรมที่ 4 อ่านข่าวก้าวทันวันสำคัญ กิจกรรมที่ 5 พี่น้องชวนกันรักการอ่าน และกิจกรรมที่ 6 ยุวนักอ่านส่งสารผ่านสื่อ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการประเมิน รวมจำนวน 6 ฉบับ ผู้ประเมินสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นข้อคำถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ได้แก่ 1) แบบประเมินด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อมของโครงการฯ 2) แบบประเมินด้านปัจจัยนำเข้าของโครงการฯ 3) แบบประเมินด้านกระบวนการของโครงการฯ 4) แบบประเมินด้านผลผลิต: กิจกรรมในโครงการฯ 5) แบบประเมินด้านผลผลิต: พฤติกรรมรักการอ่านฯ และ 6) แบบสอบถามด้านผลผลิต: ความพึงพอใจที่มีต่อโครงการฯ ซึ่งผ่านการตรวจสอบหาคุณภาพของเครื่องมือทุกฉบับ มีค่าความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง 0.845–0.962 เป็นที่ยอมรับและเป็นไปตามเกณฑ์ที่ยอมรับได้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (x̄) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD.) และโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลสำเร็จรูป

สรุปผลการประเมิน พบว่า การประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนราชวินิต มัธยม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ด้วยรูปแบบการประเมินซิปป์โมเดล (CIPP Model) ตามความคิดเห็นของนักเรียน ครูผู้สอน และผู้ปกครองนักเรียน มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.60, SD = .15) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินสูงสุดเป็นอันดับแรกคือ ด้านผลผลิต (x̄ = 4.66, SD = .11) รองลงมาคือ ด้านกระบวนการ (x̄ = 4.61, SD = .26) ด้านปัจจัยนำเข้า (x̄ = 4.59, SD = .28) และด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (x̄ = 4.54, SD = .38) ตามลำดับ มีรายละเอียดดังนี้

1. ด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation) ของโครงการ ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนและผู้ปกครองนักเรียน โดยภาพรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.54, SD = .38) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินสูงสุดเป็นอันดับแรกคือ เป้าหมายของโครงการมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ( x̄ = 4.66, SD = .66) รองลงมาคือ มีแผนปฏิบัติงานและการเตรียมการในสถานศึกษาที่ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ ( x̄ = 4.63, SD = .56) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินต่ำสุดเป็นอันดับสุดท้ายคือ เป้าหมายของโครงการสอดคล้องกับสภาพปัญหาและวัตถุประสงค์ ( x̄ = 4.40, SD = .75)

2. ด้านปัจจัยนำเข้า (Input Evaluation) ของโครงการ ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนและผู้ปกครองนักเรียน โดยภาพรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.59, SD = .28) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินสูงสุดเป็นอันดับแรกคือ มีครูและบุคลากรรับผิดชอบโครงการ/กิจกรรมเพียงพอ ( x̄ = 4.70, SD = .55) รองลงมาคือ มีผู้ช่วยครูบรรณารักษ์เพียงพอและดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ( = 4.66, SD = .53) และมีงบประมาณเพียงพอ

ในการดำเนินงานโครงการ/กิจกรรม ( x̄ = 4.65, SD = .58) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินต่ำสุดเป็นอันดับสุดท้ายคือ มีจำนวนครูบรรณารักษ์และผู้ช่วยครูบรรณารักษ์ที่เพียงพอ ( x̄ = 4.49, SD = .59)

3. ด้านกระบวนการ (Process Evaluation) ของโครงการ ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนและผู้ปกครองนักเรียน โดยภาพรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.61, SD = .26) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินสูงสุดเป็นอันดับแรกคือ มีโครงสร้างแผนภูมิและกำหนดทิศทางการบริหารงานที่ครอบคลุม ( x̄ = 4.74, SD = .52) รองลงมาคือ มีแนวทางการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาผลการดำเนินงาน โดยความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ( x̄ = 4.64, SD = .74) และมีการนิเทศ กำกับ และติดตามผลการดำเนินงานต่อเนื่อง ( x̄ = 4.63, SD = .48) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินต่ำสุดเป็นอันดับสุดท้าย มีจำนวน 2 ข้อคือ มีแผนงานและดำเนินการให้คำปรึกษาแนะนำในการดำเนินงาน ( x̄ = 4.55, SD = .54) และมีการประชุมวางแผนงานของคณะทำงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ( x̄ = 4.55, SD = .56)

4. ด้านผลผลิต (Product Evaluation) ของโครงการ ผู้วิจัยแบ่งเป็นข้อมูลความคิดเห็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ผลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในโครงการทั้งหมด 6 กิจกรรม ส่วนที่ 2 พฤติกรรมรักการอ่านและการเรียนรู้ของนักเรียน และส่วนที่ 3 ความพึงพอใจที่มีต่อโครงการฯ โดยภาพรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.66, SD = .11) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณารายส่วนย่อยพบว่า ส่วนย่อยที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินสูงสุดคือ ส่วนที่ 3 ความพึงพอใจที่มีต่อโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ( x̄ = 4.68, SD = .16) รองลงมาคือ ส่วนที่ 2 พฤติกรรมรักการอ่านและการเรียนรู้ของนักเรียน ( x̄ = 4.66, SD = .20) ส่วนที่ 1 กิจกรรมในโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ( x̄ = 4.64, SD = .13) ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาผลการประเมินด้านผลผลิตแต่ละส่วนย่อย พบว่า

4.1 ส่วนที่ 1 กิจกรรมในโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 ตามความคิดเห็นของนักเรียนและครูผู้สอน โดยภาพรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.64, SD = .13) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณารายกิจกรรมย่อยในโครงการ พบว่า กิจกรรมที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินสูงสุดเป็นอันดับแรกคือ กิจกรรมที่ 3 สัปดาห์ห้องสมุด (รักการอ่านบนฐานชีวิตวิถีใหม่) ( x̄ = 4.67, SD = .28) รองลงมาคือ กิจกรรมที่ 5 พี่น้องชวนกันรักการอ่าน ( x̄ = 4.66, SD = .18) กิจกรรมที่ 1 พิชิตยอดนักอ่าน ( x̄ = 4.64, SD = .26) และกิจกรรมที่ 2 ตามรอยเจ้าฟ้านักอ่าน ( x̄ = 4.63, SD = .20) ส่วนกิจกรรมที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินต่ำสุดเป็นอันดับสุดท้าย มีจำนวน 2 กิจกรรมคือ กิจกรรมที่ 6 ยุวนักอ่านส่งสารผ่านสื่อ ( x̄ = 4.62, SD = .23) และกิจกรรมที่ 4 อ่านข่าวก้าวทันวันสำคัญ ( x̄ = 4.62, SD = .31) ตามลำดับ

4.2 ส่วนที่ 2 พฤติกรรมรักการอ่านและการเรียนรู้ของนักเรียน ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนและผู้ปกครองนักเรียน โดยภาพรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.66, SD = .20) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินสูงสุดเป็นอันดับแรกคือ มีทักษะด้านภาษาและการสื่อสารเหมาะสมกับวัย ( x̄ = 4.72, SD = .51) รองลงมาคือ สามารถสืบค้นความรู้จากสื่อเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ( x̄ = 4.68, SD = .47) มีน้ำใจไมตรีช่วยเหลือผู้อื่นในการอ่าน ( x̄ = 4.68, SD = .47) พัฒนาตนเองด้วยการอ่านอย่างสร้างสรรค์เป็นกิจวัตรประจำวัน ( x̄ = 4.68, SD = .47) และรู้จักค้นคว้าความรู้อย่างอิสระจากห้องสมุดและแหล่งเรียนรู้ ( x̄ = 4.68, SD = .51) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินต่ำสุดเป็นอันดับสุดท้ายคือ สามารถให้ข้อมูลและอธิบายข้อคำถามจากการค้นคว้าได้

( x̄ = 4.60, SD = .52)

4.3 ส่วนที่ 3 ความพึงพอใจที่มีต่อโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ปีการศึกษา 2565 ตามความคิดเห็นของนักเรียน ครูผู้สอนและผู้ปกครองนักเรียน โดยภาพรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.68, SD = .16) ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณารายด้านทั้ง 3 ด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยผลการประเมินสูงสุดคือ ด้านที่ 3 คุณค่าและประโยชน์ของโครงการที่ได้รับ ( x̄ = 4.69, SD = .22) รองลงมาคือ ด้านที่ 2 ผลลัพธ์การดำเนินกิจกรรมในโครงการ ( x̄ = 4.68, SD = .18) และด้านที่ 1 แผนการดำเนินงานและวิธีการปฏิบัติของโครงการ ( x̄ = 4.66, SD = .24) เมื่อพิจารณารายข้อในแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 แผนการดำเนินงานและวิธีการปฏิบัติของโครงการพบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ มีแผนงานสอดคล้องนโยบายและจุดเน้นที่ส่งเสริมการอ่าน ( x̄ = 4.73, SD = .48) รองลงมาคือ มีกำหนดระยะเวลาจัดโครงการ/กิจกรรมเหมาะสม (x̄ = 4.69, SD = .49) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ โครงการ/กิจกรรมน่าสนใจและกระตุ้นให้นักเรียนเข้าร่วมได้ ( x̄ = 4.62, SD = .58) ด้านที่ 2 ผลลัพธ์การดำเนินกิจกรรมในโครงการพบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด มีจำนวน 2 ข้อคือ ส่งเสริมให้มีส่วนร่วมเลือกใช้ทรัพยากร แหล่งเรียนรู้และเทคโนโลยีในการเรียนรู้บนฐานชีวิตวิถีใหม่ ( x̄ = 4.70, SD = .47) และสะท้อนความคิดและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยได้อย่างสร้างสรรค์ ( x̄ = 4.70, SD = .49) รองลงมา

มีผลการประเมินเท่ากันจำนวน 7 ข้อคือ ส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาทักษะภาษาไทย ทักษะการเรียนรู้ และทักษะชีวิตอย่างต่อเนื่อง ( x̄ = 4.68, SD = .47) เน้นบูรณาการและสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และเครือข่าย ( x̄ = 4.68, SD = .47) มีส่วนช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ( x̄ = 4.68, SD = .48) ภาพรวมที่มีต่อการจัดกิจกรรมตามรอยเจ้าฟ้านักอ่าน ( x̄ = 4.68, SD = .48) ภาพรวมที่มีต่อการจัดกิจกรรมพิชิตยอดนักอ่าน ( x̄ = 4.68, SD = .49)ภาพรวมที่มีต่อการจัดกิจกรรมพี่น้องชวนกันรักการอ่าน ( x̄ = 4.68, SD = .50) และเปิดโอกาสให้เข้าถึงการอ่าน การเรียนรู้ผ่านหนังสือที่ดีและมีประโยชน์มากขึ้น ( x̄ = 4.68, SD = .52) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ภาพรวมที่มีต่อการจัดกิจกรรมยุวนักอ่านส่งสารผ่านสื่อ ( x̄ = 4.66, SD = .50) และด้านที่ 3 คุณค่าและประโยชน์ของโครงการที่ได้รับพบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ เป็นพื้นที่แหล่งเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงและการมีส่วนร่วม ( x̄ = 4.72, SD = .48) รองลงมามีจำนวน 2 ข้อคือ พัฒนาทักษะภาษาและการเรียนรู้ในการสร้างสรรค์ เผยแพร่ผลงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและปลอดภัย ( x̄ = 4.71, SD = .47) และเสริมสร้างภาวะผู้นำและการเป็นแบบอย่างที่ดีในระดับห้องเรียน ชั้นเรียน โรงเรียน ครอบครัว ชุมชน และสังคม ( x̄ = 4.71, SD = .52) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด มีจำนวน 2 ข้อคือ ได้มีพื้นฐานการดำเนินชีวิตประจำวันสู่การปฏิบัติที่ดีอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ( x̄ = 4.66, SD = .52) และสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนให้มีพฤติกรรม/คุณลักษณะนิสัยรักการอ่านเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตในอนาคตที่เหมาะสม ( x̄ = 4.66, SD = .52)

ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะการนำผลการประเมินไปใช้

1. ควรนำผลการประเมินโครงการมาวิเคราะห์จุดเด่นหรือจุดที่ควรพัฒนา เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน ในการวิจัยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของระบบการบริหารจัดการเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการบริหารจัดการสถานศึกษาเชิงระบบให้มีคุณภาพ

2. ควรมีเผยแพร่ผลลัพธ์ความสำเร็จที่เกิดจากการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือหน่วยงานการศึกษา ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำไปปรับประยุกต์ใช้พัฒนาเป็นรูปแบบหรือแนวทางการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเป็นเลิศ

3. ควรให้มีกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกิจกรรมต่าง ๆ โดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน บุคคลหรือหน่วยงานภายนอก เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนโดยเฉพาะการพัฒนาด้านการอ่าน การเขียนและการคิดขั้นสูง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม ทักษะทางภาษาและสมรรถนะผู้เรียนภายใต้บริบทสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตในยุคดิจิทัล

ข้อเสนอแนะเพื่อการประเมินครั้งต่อไป

1. ควรมีการวิจัยประเมินโครงการอื่น ๆ เพื่อพัฒนาผลผลิตของโครงการเป็นรูปแบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและมีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ สอดรับสถานการณ์ปัจจุบัน สภาพบริบทและสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน เช่น แหล่งการเรียนรู้ในโลกยุคดิจิทัล นวัตกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นต้น เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานและนโยบายการจัดการศึกษา

2. ควรศึกษาปัจจัยหรือตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการแหล่งการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมผู้เรียนให้มีทักษะทางภาษาเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้และพลเมืองโลกที่เข้มแข็ง

3. ควรศึกษาแนวคิดและรูปแบบการประเมินทางการบริหารการศึกษาอื่น ๆ นอกเหนือจากรูปแบบการประเมินซิปป์โมเดล (CIPP Model) ทั้ง 4 ด้าน เพื่อเป็นประโยชน์ทางการศึกษาสำหรับผู้บริหารหรือผู้ที่ศึกษา ในการเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับสภาพบริบทและโครงการต่าง ๆ ในระดับกลุ่มบริหาร กลุ่มงานหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่อไป

โพสต์โดย สุรเชษฐ์ : [18 เม.ย. 2566 เวลา 18:47 น.]
อ่าน [2327] ไอพี : 171.6.104.85
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 18,486 ครั้ง
ย้อนดูโปรแกรมแชท 22 ปีที่แล้ว จนถึงอวสาน "MSN"
ย้อนดูโปรแกรมแชท 22 ปีที่แล้ว จนถึงอวสาน "MSN"

เปิดอ่าน 13,195 ครั้ง
"แป้งพับ"ก๊อปปี้แบรนด์ดังสุดน่ากลัว
"แป้งพับ"ก๊อปปี้แบรนด์ดังสุดน่ากลัว

เปิดอ่าน 21,780 ครั้ง
ราคากลางชุดฝึกทักษะนักเรียนก่อนประถมศึกษา
ราคากลางชุดฝึกทักษะนักเรียนก่อนประถมศึกษา

เปิดอ่าน 13,218 ครั้ง
ชมคลิป ตำรวจไทยโชว์เต้นบีบอย งานกีฬากองทัพไทย
ชมคลิป ตำรวจไทยโชว์เต้นบีบอย งานกีฬากองทัพไทย

เปิดอ่าน 26,587 ครั้ง
Youtube เผย 10 อันดับคลิปที่มีผู้เข้าชมมากสุดปี 2011
Youtube เผย 10 อันดับคลิปที่มีผู้เข้าชมมากสุดปี 2011

เปิดอ่าน 8,773 ครั้ง
ประโยชน์ของการหัวเราะ
ประโยชน์ของการหัวเราะ

เปิดอ่าน 14,991 ครั้ง
กิน เบต้าแคโรทีน มากไป เสี่ยงมะเร็ง
กิน เบต้าแคโรทีน มากไป เสี่ยงมะเร็ง

เปิดอ่าน 35,458 ครั้ง
กระบวนการสื่อความหมาย และอุปสรรคในการสื่อความหมาย
กระบวนการสื่อความหมาย และอุปสรรคในการสื่อความหมาย

เปิดอ่าน 12,939 ครั้ง
"พี่เป้า-สายัณห์ สัญญา" สร้างปาฏิหาริย์ช่วยหญิงเป็นมะเร็งฟื้นคืนชีพ
"พี่เป้า-สายัณห์ สัญญา" สร้างปาฏิหาริย์ช่วยหญิงเป็นมะเร็งฟื้นคืนชีพ

เปิดอ่าน 9,073 ครั้ง
องค์กรของคุณใช้เครื่องมืออัตโนมัติด้านไอทีที่เหมาะสมหรือไม่
องค์กรของคุณใช้เครื่องมืออัตโนมัติด้านไอทีที่เหมาะสมหรือไม่

เปิดอ่าน 7,089 ครั้ง
NewProfilePic Picture Editor แอปฯ เปลี่ยนรูปภาพโปรไฟล์ให้เป็นภาพวาด
NewProfilePic Picture Editor แอปฯ เปลี่ยนรูปภาพโปรไฟล์ให้เป็นภาพวาด

เปิดอ่าน 6,870 ครั้ง
กองทุนการศึกษา โครงการพระราชดำริสุดท้าย ด้วยความห่วงใยอนาคตชาติ
กองทุนการศึกษา โครงการพระราชดำริสุดท้าย ด้วยความห่วงใยอนาคตชาติ

เปิดอ่าน 17,162 ครั้ง
วัยไหนให้ดูทีวี
วัยไหนให้ดูทีวี

เปิดอ่าน 1,744 ครั้ง
ขั้นตอนในการทำเด็กหลอดแก้วมีกี่ขั้นตอน
ขั้นตอนในการทำเด็กหลอดแก้วมีกี่ขั้นตอน

เปิดอ่าน 16,118 ครั้ง
แนวทางการสร้างคอร์สแวร์
แนวทางการสร้างคอร์สแวร์

เปิดอ่าน 12,330 ครั้ง
ถอดรหัส “วิทยาการคำนวณ” วิชาแห่งโลกอนาคตที่ครูวันนี้ก็ไม่เคยได้เรียน!
ถอดรหัส “วิทยาการคำนวณ” วิชาแห่งโลกอนาคตที่ครูวันนี้ก็ไม่เคยได้เรียน!
เปิดอ่าน 23,062 ครั้ง
รับชมหรือยัง? แกะรอย "มาเฟีย ศธ." เงามืด "ปฏิรูปวงการศึกษา"
รับชมหรือยัง? แกะรอย "มาเฟีย ศธ." เงามืด "ปฏิรูปวงการศึกษา"
เปิดอ่าน 15,532 ครั้ง
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2552
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2552
เปิดอ่าน 11,834 ครั้ง
การใส่หน้ากากอนามัยให้ได้ผล
การใส่หน้ากากอนามัยให้ได้ผล
เปิดอ่าน 28,597 ครั้ง
"หินถ่วงบวบ"ไอเดียปลูกบวม ได้ผลใหญ่ สวย และยาวมาก
"หินถ่วงบวบ"ไอเดียปลูกบวม ได้ผลใหญ่ สวย และยาวมาก

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ