ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ชื่อผู้วิจัย นายทนงศักดิ์ จำปา
สังกัด โรงเรียนพันดอนวิทยา องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี
ปีการศึกษา 2565
บทคัดย่อ
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ 2) พัฒนาและหาประสิทธิภาพรูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) ทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 4) เพื่อประเมินความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา และสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนพันดอนวิทยา ตำบลพันดอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี จำนวน 1 ห้องเรียน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวนนักเรียนทั้งหมด 29 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน คือ แบบสอบถามแบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้อง 2) รูปแบบการเรียนรู้ 3) ชุดกิจกรรม 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) แบบประเมินความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา และ 6) แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้ค่าสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่า t-test Dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) แล้วนำเสนอแบบพรรณนาความ
ผลการศึกษาพบว่า
1. นักเรียนและผู้เกี่ยวข้องเห็นว่า องค์ประกอบต้องให้ครบตามรูปแบบของการสร้างรูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นเนื้อหาที่นักเรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ควรมีรูปภาพประกอบใช้วิธีการเรียนรู้ที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจได้ง่าย นักเรียนได้ใช้สื่อทุกอย่างในชุดกิจกรรมอย่างทั่วถึง โดยครูคอยดูแลและให้คำแนะนำนักเรียนและการวัดผลและประเมินผลควรใช้เครื่องมือที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
2. คู่มือครูและรูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 ค่าประสิทธิภาพแบบรายบุคคล (Individual Tryout) เท่ากับ 69.74/68.33 ค่าประสิทธิภาพแบบ กลุ่มย่อย (Small Group Tryout) เท่ากับ 78.18/76.40 และค่าประสิทธิภาพแบบภาคสนาม (Field Tryout) เท่ากับ 83.20/82.08
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า มีประสิทธิภาพ คือ E1/E2 เท่ากับ 84.95/83.45 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. การประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
4.1 นักเรียนความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหาอยู่ในระดับดีขึ้นไป ผ่านเกณฑ์การประเมินทุกคนหลังจากเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
4.2 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการรู้คิดแก้ปัญหา ร่วมกับชุดกิจกรรม เรื่อง เพศศึกษา รายวิชาสุขศึกษา พ23101 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก
4.3 ผลการปรับปรุงแก้ไข มีการปรับปรุงการพิมพ์ สะกดคำให้ถูกต้อง ชัดเจน มีภาพประกอบเนื้อหามากขึ้น ปรับปรุงเนื้อหากิจกรรมการอ่าน ปรับปรุงข้อคำถาม ปรับปรุงกิจกรรมเพิ่มเติม และปรับปรุงระยะเวลาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับเนื้อหามากยิ่งขึ้น