ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้ ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของครูภาษาไทย โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี (RAIDS Model)

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา ( Research & Development ) มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของครูภาษาไทย โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของครูภาษาไทย โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการนิเทศการสอน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของครูภาษาไทย โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี และ 4) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการนิเทศการสอน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของครูภาษาไทย โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี แหล่งข้อมูล/กลุ่มเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การวิจัยขั้นตอนที่ 1 ได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ 2 ) พุทธศักราช 2545 และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ประกอบกับแผนงาน/โครงการนิเทศภายใน , แนวคิดหลักการและทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอน ได้แก่ ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง , ทฤษฎีแรงจูงใจ, ทฤษฎีภาวะผู้นำ และทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ และแนวคิด หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ,ประเด็นการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการผู้บริหารสถานศึกษาและประเด็นการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการของครูหัวหน้างานวิชาการโรงเรียนกับครูหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย แหล่งข้อมูล/กลุ่มเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การวิจัยขั้นตอนที่ 2 ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากขั้นตอนที่ 1 และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ตรวจสอบความเหมาะสม/สอดคล้อง , นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล ๑ (วัดทองพุ่มพวง) จำนวน 40 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง แหล่งข้อมูล/กลุ่มตัวอย่างตามวัตถุประสงค์การวิจัยขั้นตอนที่ 3 และ 4 ได้แก่ ครูในโรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ที่ปฏิบัติหน้าที่สอนสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 12 คน และครูหัวหน้าวิชาการโรงเรียน จำนวน 10 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 298 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) คู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศการสอน 2) แผนการนิเทศการสอน และ 3) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรมข้อมูล จำนวน 6 ฉบับ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปและการคิดวิเคราะห์เนื้อหา ( content analysis ) สถิติที่ใช้ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ ( % ) การหาค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D. ) และค่าที ( t-test dependent )

ผลการวิจัย

1. ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอน พบว่า เป้าหมายของหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยให้ความสำคัญกับการอ่านโดยเฉพาะการอ่านคิดวิเคราะห์ โดยระบุคุณภาพผู้เรียนเมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้สามารถแยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง จับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านและสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และจากการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความคิดเห็นว่ากระบวนการนิเทศการสอนสามารถพัฒนาการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของครูภาษาไทยซึ่งสอดคล้องกับผลการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการครูหัวหน้างานวิชาการโรงเรียนกับครูหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยที่สรุปว่าการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนภาษาไทยยังขาดประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ให้กับผู้เรียน จึงควรสนับสนุนให้ครูร่วมกันวางแผนและพัฒนาเทคนิคกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยการพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอนที่มีกระบวนการที่เป็นระบบและตอบสนองตามศักยภาพของครูแต่ละคนให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพและสมรรถนะของครู โดยมีแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของครูภาษาไทยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ซึ่งข้อมูลพื้นฐานในการวิจัยเพียงพอคอบคลุมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการวิจัย เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 1

2. ผลการพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอน พบว่า รูปแบบการนิเทศการสอนที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วยกระบวนการนิเทศการสอน 5 ขั้นตอน คือขั้นตอนที่ 1 ขั้นการสร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing: R ) ขั้นตอนที่ 2 ขั้นการประเมินเบื้องต้น (Assessing: A ) ขั้นตอนที่ 3 ขั้นการให้ความรู้ก่อนการนิเทศการสอน (Informing: I ) ขั้นตอนที่ 4 ขั้นการปฏิบัติการนิเทศการสอน (Doing: D) ซึ่งประกอบด้วยการนิเทศการสอน 3 วิธี ได้แก่ 1) การนิเทศแบบชี้นำให้ข้อมูล (Directive Informational ) 2) การนิเทศแบบร่วมมือ (Collaborative) และ 3) การนิเทศแบบไม่ชี้นำ (Nondirective) โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติการ ดังนี้ 1) ประชุมก่อนการสังเกตการสอน 2) การสังเกตการณ์สอนในชั้นเรียน และ 3) การประชุมให้ข้อมูลย้อนกลับ และขั้นตอนที่ 5 ขั้นการสรุปและประเมินผลการนิเทศการสอน (Summarizing and evaluation: S ) มีความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.84 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.07 เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 2

3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการนิเทศการสอน พบว่า จากการนำรูปแบบการนิเทศการสอนไปทดลองใช้กับครูผู้สอนภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี จำนวน 12 คน และครูหัวหน้างานวิชาการโรงเรียน จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการของรูปแบบการนิเทศการสอน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 3 ดังนี้ผลของการดำเนินการในขั้นตอนที่ 1 ขั้นการสร้างเสริมกำลังใจ (Reinforcing: R ) ครูผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศการสอนรู้และเข้าใจพร้อมทั้งตระหนักถึงความสำคัญและจุดประสงค์ของการนิเทศการสอนและการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ให้กับนักเรียนเกิดความมั่นใจและมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติ , ขั้นตอนที่ 2 ขั้นการประเมินเบื้องต้น (Assessing: A ) สามารถจำแนกครูตามสมรรถนะในการปฏิบัติงานด้วยการประเมินตนเอง เพื่อรับการนิเทศการสอนตามแนวคิดการนิเทศการสอนแบบพัฒนาการของกลิ๊กแมน ได้แก่ 1) การนิเทศแบบชี้นำให้ข้อมูล (Directive Informational ) 2) การนิเทศแบบร่วมมือ (Collaborative) และ 3) การนิเทศแบบไม่ชี้นำ (Nondirective) ส่งผลให้ครูผู้รับการนิเทศด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับศักยภาพของตนเอง ขั้นตอนที่ 3 ขั้นการให้ความรู้ก่อนการนิเทศการสอน (Informing: I ) ครูผู้นิเทศการสอนมีความรู้ความเข้าใจการนิเทศการสอนและการสังเกตการสอนและครูผู้รับการนิเทศการสอนมีความรู้ความเข้าใจการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์และการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้จากการเข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการ , ขั้นตอนที่ 4 ขั้นการปฏิบัติการนิเทศการสอน (Doing: D) ผู้นิเทศการสอนดำเนินการจัดประชุมก่อนการนิเทศทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันทั้งผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศการสอน และจากการสังเกตการสอนแบบกัลยาณมิตรทำให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินการอีกทั้งการประชุมหลังการนิเทศเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับทำให้เกิดการปรับปรุง แก้ไขและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้ดีขึ้น และขั้นตอนที่ 5 ขั้นการสรุปและประเมินผลการนิเทศการสอน (Summarizing and evaluation: S ) จากการประเมินผลโดยการทดสอบหรือการประเมินตนเองและผู้วิจัยประเมินทำให้ได้ข้อมูลที่สามารถนำมาพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอน โดยเฉพาะการสนทนากลุ่มเพื่อสะท้อนความคิดจากการนำรูปแบบการนิเทศไปใช้สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

4. ผลการประเมินรูปแบบการนิเทศการสอน พบว่า หลังการใช้รูปแบบการนิเทศการสอนมีคะแนนด้านความรู้ความเข้าใจการนิเทศการสอนของผู้นิเทศอยู่ในระดับสูงมาก ( = 17.10 , S.D.= 1.14 , %=85.50, S.D.=5.68 ) สูงกว่าก่อนการใช้ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง ( = 10.3 , S.D.= 1.10, %=51.50, S.D.=5.50 ) เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 4.1 และด้านความรู้ความเข้าใจการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของผู้รับการนิเทศการสอนอยู่ในระดับสูงมาก ( = 17.08 , S.D.= 0.95 , %=85.42, S.D.=4.77 ) สูงกว่าก่อนการใช้ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ ( = 9.83 , S.D.= 0.99, %=49.17, S.D.=4.93 ) เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 4.2 และด้านความสามารถในการนำรูปแบบการนิเทศไปใช้ พบว่า หลังการใช้ผู้นิเทศการสอนมีผลการประเมินด้านความสามารถในการนิเทศการสอนทั้งโดยการประเมินตนเองและผู้วิจัยประเมินอยู่ในระดับสูงมาก ( = 16.90 , S.D.= 0.70, %=84.50 , S.D. 3.50 ) และผู้วิจัยประเมิน ( = 16.70 , S.D.= 0.64, %=83.50 , S.D. 3.20 ) เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 4.3 และด้านความสามารถในการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของผู้รับการนิเทศการสอน อยู่ในระดับสูงมากทั้งโดยการประเมินตนเอง ( = 16.50 , S.D.= 0.65, %=82.50 , S.D. 3.23 ) และผู้วิจัยประเมิน ( = 17.50 , S.D.= 0.50, %=87.50 , S.D. 2.50 ) เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 4.4 และจากการสังเกตการสอนขณะดำเนินการใช้รูปแบบการนิเทศการสอนก็มีพัฒนาการทั้งผู้นิเทศการนิเทศการสอนและผู้รับการรับการนิเทศการสอนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าการทดสอบที ( t-test dependent ) เท่ากับ 4.743 เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 5 และมีผลการประเมินความพึงพอใจของครูต่อการใช้รูปแบบการนิเทศการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ย ( ) เท่ากับ 4.68 และคะแนนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.50 คะแนนเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 6

โพสต์โดย มล : [19 ก.พ. 2566 เวลา 17:19 น.]
อ่าน [2141] ไอพี : 49.49.156.29
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 8,297 ครั้ง
แนะนำ 10 เครื่องมือดี ๆ ช่วยครูในการสอนออนไลน์
แนะนำ 10 เครื่องมือดี ๆ ช่วยครูในการสอนออนไลน์

เปิดอ่าน 8,723 ครั้ง
กรมวิทย์ยัน ตรวจขวดน้ำพลาสติกทิ้งกลางแดดร้อน ไม่พบสารพิษไดออกซิน
กรมวิทย์ยัน ตรวจขวดน้ำพลาสติกทิ้งกลางแดดร้อน ไม่พบสารพิษไดออกซิน

เปิดอ่าน 17,417 ครั้ง
6 คำคมน่าคิด ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
6 คำคมน่าคิด ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

เปิดอ่าน 20,283 ครั้ง
ลิขสิทธิ์การสอน
ลิขสิทธิ์การสอน

เปิดอ่าน 4,928 ครั้ง
คุณหมอญี่ปุ่นแนะนำ! วิธีสร้างนิสัยการนอนหลับที่ดีเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อม
คุณหมอญี่ปุ่นแนะนำ! วิธีสร้างนิสัยการนอนหลับที่ดีเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อม

เปิดอ่าน 12,348 ครั้ง
เปิดปูม"สินค้า"อวดอ้าง รักษาโรคครอบจักรวาล
เปิดปูม"สินค้า"อวดอ้าง รักษาโรคครอบจักรวาล

เปิดอ่าน 13,521 ครั้ง
โซเชียลแชร์ กระดาษคำตอบแบบใหม่ กันลอกข้อสอบ
โซเชียลแชร์ กระดาษคำตอบแบบใหม่ กันลอกข้อสอบ

เปิดอ่าน 13,991 ครั้ง
วันพ่อแห่งชาติ (5 ธันวาคม)
วันพ่อแห่งชาติ (5 ธันวาคม)

เปิดอ่าน 18,509 ครั้ง
เอกสารประกอบการสอนเสริมเพื่อเตรียมสอบ O-NET
เอกสารประกอบการสอนเสริมเพื่อเตรียมสอบ O-NET

เปิดอ่าน 8,055 ครั้ง
ระบบการศึกษาไม่สมดุล (จบ)
ระบบการศึกษาไม่สมดุล (จบ)

เปิดอ่าน 14,348 ครั้ง
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดวาง ตำแหน่งของเตียง
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดวาง ตำแหน่งของเตียง

เปิดอ่าน 18,003 ครั้ง
หลักเกณฑ์ใหม่ในการตั้งชื่อวัด
หลักเกณฑ์ใหม่ในการตั้งชื่อวัด

เปิดอ่าน 18,633 ครั้ง
สาเหตุใหญ่ของป่วยเป็นมะเร็ง มาจากนิสัยการกินอยู่แต่ละคน
สาเหตุใหญ่ของป่วยเป็นมะเร็ง มาจากนิสัยการกินอยู่แต่ละคน

เปิดอ่าน 9,665 ครั้ง
คนไทย80% กินอาหารเกินจำเป็นร่างกาย
คนไทย80% กินอาหารเกินจำเป็นร่างกาย

เปิดอ่าน 14,358 ครั้ง
ผลการเลือกตั้ง 2554 อย่างไม่เป็นทางการ
ผลการเลือกตั้ง 2554 อย่างไม่เป็นทางการ

เปิดอ่าน 20,095 ครั้ง
ประโยชน์จากฟักเขียว
ประโยชน์จากฟักเขียว
เปิดอ่าน 10,041 ครั้ง
เติมน้ำมันให้คุ้มที่สุด
เติมน้ำมันให้คุ้มที่สุด
เปิดอ่าน 13,250 ครั้ง
โลกออนไลน์แชร์คลิปดีๆ "ครูบุ๋ม" ชวนเด็กๆเต้น T26 ก่อนเรียนคาบแรก
โลกออนไลน์แชร์คลิปดีๆ "ครูบุ๋ม" ชวนเด็กๆเต้น T26 ก่อนเรียนคาบแรก
เปิดอ่าน 15,364 ครั้ง
ลายมือผู้วิเศษ
ลายมือผู้วิเศษ
เปิดอ่าน 14,122 ครั้ง
ความหมายของของขวัญ
ความหมายของของขวัญ

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ