ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 5 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

รายงานวิจัยในชั้นเรียน (CAR – Classroom Action Research)

เรื่อง

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 5 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

ผู้วิจัย

นางสาวจิตรลดา ทับถม

โรงเรียนหนองรีประชานิมิต

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ชื่องานวิจัย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 5 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education เพื่อเทียบเกณฑ์ร้อยละ 60 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนหนองรีประชานิมิต จังหวัดกาญจนบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่อง ระบบนิเวศ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ระยะเวลาในการทดลอง การวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้เวลาทั้งหมดจำนวน 2 สัปดาห์ๆ ละ 3 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง สถิติที่ใช้ ได้แก่ ทดสอบค่าที t-test-one-sample ค่าเฉลี่ย เลขคณิต (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และค่าร้อยละ (Percentage)

สรุปผลการวิจัย

การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบนิเวศ รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว23101 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สรุปผลการวิจัย ได้ดังนี้

1. ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิด STEAM Education มีค่าเท่ากับร้อยละ 77.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 สอดคล้องกับสมมติฐานข้อที่ 1

2. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education โดยภาพรวมนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจของต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education อยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 2

อภิปรายผล

การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบนิเวศ รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว23101 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อภิปรายผล ได้ดังนี้

1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบนิเวศ รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว23101 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่ากับร้อยละ 77.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงสอดคล้องกับสมมติฐานข้อที่ 1 ที่ตั้งไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเรียนรู้ดังกล่าว เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติโดยผ่านกระบวนการที่บูรณาการสาขาวิชา ต่างๆ เข้ากับวิชาวิทยาศาสตร์ จึงส่งผลให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ มีกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างสร้างสรรค์และมีผลการเรียนรู้ที่สูงขึ้น สอดคล้องกับภิญโญ วงษ์ทอง (2562)ได้ทำการวิจัย เรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการ STEAM Education ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนร้อยละ 38.05 (SD =4.85) และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนร้อยละ 74.92 (SD =4.71) มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ .60 เนื่องจากกิจกรรมการเรียนรู้ บูรณาการ STEAM Education สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนให้อยากเรียนรู้จากการเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ผู้เรียนสนุกไปกับการเรียน สามารถระบุประเด็นปัญหา รวบรวมข้อมูล เชื่อมโยงข้อมูล และสรุปผล ได้อย่างเป็นขั้นตอน สอดคล้องกับสุนารี ศรีบุญ (2561) ได้ทำการวิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า ผลการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนที่ใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และยังสอดคล้องกับฟัตมาอัสไวนี ตาเย๊ะ (2560)ได้ทำการวิจัย เรื่องผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสตีมศึกษา มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อน การจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีระดับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ก่อนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสตีมศึกษาอยู่ในระดับต่ำ กว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ หลังการจัดการเรียนรู้เฉลี่ยอยู่ในระดับค่อนข้างดี และมีคะแนนพัฒนาการทางการเรียนวิทยาศาสตร์เฉลี่ยร้อยละ 57.12 ซึ่งมีพัฒนาการระดับสูง และสอคล้องกับ มีนกาญจน์ แจ่มพงษ์ (2559) ได้ทำการวิจัย เรื่องการพัฒนาชุดฝึกทักษะแบบสตีมศึกษาเพื่อการสร้างสรรค์ชิ้นงาน เรื่อง พลังงานรอบตัวเรา ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05

5. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิด STEAM Education โดยภาพรวมนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education อยู่ในระดับมาก ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 2 และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากไปจนถึงมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ด้านประโยชน์ ที่ได้รับจากการเรียน รู้รองลงมา ได้แก่ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ได้แก่ด้านบรรยากาศ การเรียนรู้ทั้งนี้เนื่องจากด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้เป็นผลที่เกิดขึ้นจริงกับนักเรียน คือกิจกรรมการเรียนรู้จะช่วยให้นักเรียนทำงานได้อย่างเป็นระบบตามขั้นตอน ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างความรู้ ความเข้าใจด้วยตนเองจากการศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทำให้นักเรียนมีทักษะการใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหา ในชีวิตประจำวันได้และยังส่งเสริมให้นักเรียนมีความรับผิดชอบในการทำงาน นักเรียนจึงมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ในด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้สูงกว่าด้านอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับ จารีพร ผลมูล (2558) ได้ทำการวิจัย เรื่องการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้บูรณาการแบบ STEAM สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 : กรณีศึกษา ชุมชนวังตะกอ จังหวัดชุมพร ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยหน่วยบูรณาการแบบ STEAM ผ่านเกณฑ์ระดับดี เนื่องจากการจัดการเรียนรู้ด้วยหน่วยบูรณาการแบบ STEAM เป็นการบูรณาการแทรกเนื้อหาสาระต่างๆ ผ่านการจัดกิจกรรมที่เน้นนักเรียนเป็น สำคัญ เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ทุกข้อมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากไปจนถึงมากที่สุด ข้อที่มีค่าเฉลี่ย สูงสุด ได้แก่กิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกการทำงานกลุ่ม แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็น นักเรียนมีความสุขในการได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม มีอิสระในการศึกษา ค้นคว้าแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น มีโอกาสได้ซักถามตามข้อสงสัย จนนำไปสู่การมีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และการสร้างผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่สูงขึ้น และสอดคล้องกับสุนารี ศรีบุญ (2561) ได้ทำการวิจัย เรื่องผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน อยู่ในระดับมาก เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ตรง โดยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และเน้นความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ แล้วนำไปสู่การแก้ไขสถานการณ์ปัญหา ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงอย่างมีลำดับขั้นตอน และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ กิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกระบุปัญหา วิเคราะห์สาเหตุหาวิธีแก้ปัญหา วางแผนและปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหา ทั้งนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ยังขาดความชัดเจนในการมุ่งเน้นการแก้ปัญหา และบางช่วงเวลาของการเรียนมีการเร่งให้นักเรียนทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลา นักเรียนจึงคิดเห็นว่ากิจกรรมยัง มีการส่งเสริมน้อย ดังนั้นผู้วิจัยจะได้แก้ไขโดยการสร้างความเข้าใจในจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเต็มตามศักยภาพ และปรับเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

ข้อเสนอแนะ

จากข้อค้นพบของการวิจัย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบนิเวศ รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว23101 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ข้อเสนอแนะเพื่อนำผลการวิจัยไปใช้

1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ในแผนแรกเป็นเรื่องใหม่สำหรับนักเรียน ผู้สอนควรชี้แจงจุดประสงค์ของกิจกรรมให้ชัดเจน และเพิ่มเติมความรู้ STEAM Education เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจก่อนการเรียนการสอน

2. ควรเพิ่มเติมการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกกระบวนการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น และผู้สอนควรปรับเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ

3. ผู้สอนควรให้ความสนใจและใส่ใจในด้านทักษะการทำงานของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถทำงานเสร็จได้ตรงตามเวลาที่กำหนดและเกิดความปลอดภัยในการทำงาน

4. โรงเรียนควรมีการบริหารจัดการ เรื่องเทคโนโลยี เพื่อให้นักเรียนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคและไม่มีอุปสรรคต่อการเรียนรู้

6. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนควรกำหนดเวลาให้เหมาะสมเพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ โดยเวลาเรียนอย่างน้อยเรื่องละ 2 ชั่วโมง เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education เป็นการบูรณาการความรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์

ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป

1. ควรมีการศึกษาวิจัย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิด STEAM Education โดยผสมผสานวิธีการเรียนรู้แบบอื่น ๆ เช่น การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม การจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคการใช้ Concept Mapping เป็นต้น

2. ควรมีการศึกษาวิจัย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิด STEAM Education โดยบูรณาการร่วมกับสาระอื่น ๆ เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และการงานอาชีพ เป็นต้น

3. ควรมีการศึกษาวิจัย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิด STEAM Education โดยเพิ่มเติมเรื่องของเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน

โพสต์โดย จิตรลดา : [14 ธ.ค. 2565 เวลา 07:15 น.]
อ่าน [2454] ไอพี : 182.232.164.73
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 11,919 ครั้ง
อาหารที่ทำให้ดูสวย
อาหารที่ทำให้ดูสวย

เปิดอ่าน 8,992 ครั้ง
"สู่แสงสว่าง" หัวใจส่องเลนส์
"สู่แสงสว่าง" หัวใจส่องเลนส์

เปิดอ่าน 12,767 ครั้ง
EQ กับวัยทำงาน
EQ กับวัยทำงาน

เปิดอ่าน 11,957 ครั้ง
เยือน "ศูนย์จราจรอัจฉริยะไทย" ที่ บก.02
เยือน "ศูนย์จราจรอัจฉริยะไทย" ที่ บก.02

เปิดอ่าน 12,685 ครั้ง
ค้นพบโลกใบที่ 2 มีอุณหภูมิไม่ร้อนไม่หนาวจนมากเกินไป
ค้นพบโลกใบที่ 2 มีอุณหภูมิไม่ร้อนไม่หนาวจนมากเกินไป

เปิดอ่าน 914 ครั้ง
ประโยชน์ของการเดิน
ประโยชน์ของการเดิน

เปิดอ่าน 42,141 ครั้ง
ฟังก์ชันของ exponential
ฟังก์ชันของ exponential

เปิดอ่าน 12,975 ครั้ง
จะให้ลูกเก่งเลข ต้องออกกำลัง
จะให้ลูกเก่งเลข ต้องออกกำลัง

เปิดอ่าน 13,255 ครั้ง
วีดิโอสอนวิธีการดูธนบัตรปลอม
วีดิโอสอนวิธีการดูธนบัตรปลอม

เปิดอ่าน 19,663 ครั้ง
คลิปการ์ตูน ก-ฮ แบบเอาฮา พล็อตเรื่องดี
คลิปการ์ตูน ก-ฮ แบบเอาฮา พล็อตเรื่องดี

เปิดอ่าน 15,075 ครั้ง
ชมดอกทานตะวันบานสะพรั่ง ณ ทุ่งทานตะวัน
ชมดอกทานตะวันบานสะพรั่ง ณ ทุ่งทานตะวัน

เปิดอ่าน 13,604 ครั้ง
โฆษณาเด็กน่ารักที่สุด ประจำปี 2013
โฆษณาเด็กน่ารักที่สุด ประจำปี 2013

เปิดอ่าน 15,405 ครั้ง
สูตรดีท็อกซ์ทำเองได้! ง่าย ๆ แค่ 7 วัน
สูตรดีท็อกซ์ทำเองได้! ง่าย ๆ แค่ 7 วัน

เปิดอ่าน 9,909 ครั้ง
เขาห้ามผมทำ แต่ไม่ห้ามผมคิด ตอนที่ 10 : เมื่อโรงเรียนเป็นนิติบุคคลแล้วประชาชนได้อะไร
เขาห้ามผมทำ แต่ไม่ห้ามผมคิด ตอนที่ 10 : เมื่อโรงเรียนเป็นนิติบุคคลแล้วประชาชนได้อะไร

เปิดอ่าน 14,072 ครั้ง
วิธีคั้นมะนาวให้ได้น้ำมาก-ไม่ขม
วิธีคั้นมะนาวให้ได้น้ำมาก-ไม่ขม

เปิดอ่าน 395,127 ครั้ง
ทฤษฎีจิตสังคมของอีริคสัน (Erikson)
ทฤษฎีจิตสังคมของอีริคสัน (Erikson)
เปิดอ่าน 36,657 ครั้ง
เด็กๆ ควรใช้นิ้วมือในการนับเลขหรือไม่
เด็กๆ ควรใช้นิ้วมือในการนับเลขหรือไม่
เปิดอ่าน 10,811 ครั้ง
เทคโนโลยีแห่งอนาคต ขับเคลื่อนสังคมโลกยุคใหม่!
เทคโนโลยีแห่งอนาคต ขับเคลื่อนสังคมโลกยุคใหม่!
เปิดอ่าน 16,977 ครั้ง
คลิปโฆษณาสร้างสรรค์สังคม ชุด "พี่โน๊ตขอออออ... ก่อนลงไปมีเรื่องกับใคร สูดหายใจลึกๆ"
คลิปโฆษณาสร้างสรรค์สังคม ชุด "พี่โน๊ตขอออออ... ก่อนลงไปมีเรื่องกับใคร สูดหายใจลึกๆ"
เปิดอ่าน 1,390 ครั้ง
ของฝากประจำจังหวัดศรีสะเกษ สินค้าแนะนำภาคอีสาน
ของฝากประจำจังหวัดศรีสะเกษ สินค้าแนะนำภาคอีสาน

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ