บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็น (Need Assessment) ในการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) เพื่อส่งเสริมศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 2) พัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) เพื่อส่งเสริมศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 3) ทดลองใช้และศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) เพื่อส่งเสริมศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และ 4) ประเมินและปรับปรุงรูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) เพื่อส่งเสริมศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ระเบียบวิธีวิทยาการวิจัยใช้การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) มีการดำเนินการวิจัยเป็น 4 ขั้นตอนตามความมุ่งหมายของการวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ทีมนิเทศ จำนวน 12 คน และผู้รับการนิเทศ จำนวน 73 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบบันทึกผลการวิเคราะห์เอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประเด็นการสนทนากลุ่ม (Focus Group) แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐานของทีมนิเทศ/ผู้รับการนิเทศ แบบตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบการนิเทศโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง(Coaching and Mentoring) แบบทดสอบด้านความรู้ก่อน และหลังการอบรมเชิงปฏิบัติการ แบบสัมภาษณ์ด้านทักษะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และการนิเทศโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง(Coaching and Mentoring) แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ แบบสังเกตการสอนเพื่อส่งเสริมศักยภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) แบบบันทึกผลการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง แบบบันทึกการรับการนิเทศด้วยกระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง แบบตรวจสอบพฤติกรรมการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยงสำหรับทีมนิเทศ แบบตรวจสอบพฤติกรรมการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยงสำหรับผู้รับการนิเทศ แบบประเมินรูปแบบการนิเทศโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง(Coaching and Mentoring) สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและพรรณนาความ และข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการวิจัยเป็นดังนี้
1. ความต้องการจำเป็น (Need Assessment) ในการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง(Coaching and Mentoring) ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1) การให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 2) การให้ความรู้การนิเทศโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง และ 3) การนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลโดยใช้ระบบการนิเทศภายในที่เหมาะสมกับสภาพบริบทของโรงเรียน
2. ผลการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยงได้รูปแบบการนิเทศ ธุงพลัส (THUNK Plus Model) ซึ่งประกอบด้วยหลักการ เงื่อนไขสำคัญ และ 5 องค์ประกอบหลัก คือ 1) ขั้นเตรียมทีมก่อนการนิเทศ (T : Team) 2) ขั้นวางแผนและออกแบบการนิเทศแบบองค์รวม (H : Holistic Planning) 3. ขั้นใช้รูปแบบการนิเทศ (U : Use) 4) ขั้นนิเทศด้วยกระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง (N : Nice Coaching and Mentoring) 5) ขั้นจัดการความรู้หลังการนิเทศ (K : Knowledge Management) และ Plus เป็นการน้อมนำหลักการทรงงานและศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 (King Bhumibols Science) มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ใน 5 องค์ประกอบหลัก
3. ผลการทดลองรูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง พบว่า เรื่องที่ได้นำมา PLC เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และคุณลักษณะ 5 ประการของโรงเรียนสุจริต คะแนนประเมินคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้มีครูผู้รับการนิเทศได้คะแนนอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 83.56 ผลการจัดการเรียนรู้ของครูผู้รับการนิเทศร้อยละ 100 สามารถจัดการเรียนรู้ได้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และผลตรวจสอบพฤติกรรมการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยงโดยทีมนิเทศประเมินตนเองหลังใช้รูปแบบการนิเทศในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
4. ผลการประเมินรูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง พบว่า การประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของรูปแบบการนิเทศโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยงจากผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ ส่วนมากมีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ส่วนผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองใช้รูปแบบการนิเทศ ธุงพลัส (THUNK Plus) โดยนำองค์ประกอบและกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่หลักการ เงื่อนไขสำคัญ และองค์ประกอบ ของรูปแบบ 5 องค์ประกอบ + Plus มาใช้ดำเนินการโดยคะแนนเฉลี่ยของทีมนิเทศหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.34 และคะแนนเฉลี่ยของผู้รับการนิเทศหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.67 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการอบรมเชิงปฏิบัติการฯ มีแนวโน้มช่วยพัฒนาให้ทีมนิเทศก์และผู้รับการนิเทศ มีความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และการนิเทศโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง
คำสำคัญ : การนิเทศภายในโดยใช้กระบวนการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง, การจัดการเรียนรู้เชิงรุก, ศาสตร์พระราชา