ชื่อเรื่อง การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2
ผู้วิจัย นางสาวกมลรัตน์ จันทโชติ
ปีที่ทำวิจัย 2564
บทคัดย่อ
การประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการพัฒนานักเรียนตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 3) เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีจำนวน 2 ฉบับ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ของลิเคิร์ท ดังนี้ ฉบับที่ 1 แบบประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 ฉบับที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจในการพัฒนานักเรียนตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการประเมินโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. ความพึงพอใจในการพัฒนานักเรียนตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก
3. แนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านโชคดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 สรุปผลได้ดังนี้
3.1 ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล พบว่า โรงเรียนควรสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นแก่ครูเกี่ยวกับการให้คำแนะนำปรึกษาเบื้องต้น สำหรับนักเรียนที่มีปัญหารวมถึงผลประโยชน์ที่ผู้ปกครองและนักเรียนจะได้รับจากการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง โดยจัดให้มีการอบรมให้ความรู้ทำความเข้าใจแก่ครูที่ปรึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถดำเนินงานอย่างเป็นระบบ การจัดทำปฏิทินการดำเนินงาน ออกแบบการใช้เครื่องมือประเมินพฤติกรรมของนักเรียนที่ทันสมัย และควรมีการปรับปรุงฐานข้อมูลนักเรียนให้เป็นปัจจุบัน
3.2 ด้านการคัดกรองนักเรียน พบว่า โรงเรียนควรสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นแก่ครูผู้สอนเกี่ยวกับการคัดกรองนักเรียน ควรมีความชัดเจนในการดำเนินการ แต่งตั้งผู้รับผิดชอบงานด้านการคัดกรองนักเรียน รวมทั้งการประชุมชี้แจงให้ครูที่ปรึกษา ผู้ปกครองและนักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับการคัดกรองนักเรียน ควรให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการกำหนดเกณฑ์และใช้เกณฑ์เดียวกันทั้งโรงเรียนเพื่อคัดกรองแยกกลุ่มนักเรียน มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและเป็นความลับ มีการติดตามและประเมินผล พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้หัวหน้างานและผู้บริหารทราบต่อไป
3.3 ด้านการส่งเสริมนักเรียน พบว่า โรงเรียนควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยควรจัดประชุมวางแผนกำหนดนโยบาย วางกรอบในการดำเนินงาน การจัดสรรงบประมาณ และแนวทางการดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนานักเรียนทั้งกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มมีปัญหา ควรเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ควรนำผลการคัดกรองนักเรียนมาใช้ในการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน และควรมีการบันทึกข้อมูลนักเรียนด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียนให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้แก่บุคคลที่เกี่ยวกับทุกฝ่ายได้รับทราบเพื่อทุกฝ่ายจะได้มีส่วนร่วมในการพัฒนานักเรียน
3.4 ด้านการป้องกันและแก้ปัญหา พบว่า โรงเรียนควรมีการประชุมวางแผนการดำเนินงานและจัดทำคำสั่งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบงานให้ชัดเจน พร้อมทั้งจัดอบรมให้ความรู้ ด้านการป้องกัน ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหานักเรียนให้แก่ครูและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการดำเนินงานมากขึ้น ควรเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภายนอก ก่อนส่งต่อนักเรียนให้อยู่ในการดูแลช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญ มีการจัดทำแบบบันทึกข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคลด้านการป้องกัน ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
3.5 ด้านการส่งต่อ พบว่า โรงเรียนควรมีการจัดทำข้อมูลแผนการส่งต่อนักเรียนอย่างครอบคลุมชัดเจนและมีรูปแบบกระบวนการส่งต่อนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ ที่ปฏิบัติได้จริงรวมถึงการประสานงานอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ควรเชิญนักจิตวิทยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ความรู้กับครูในการจำแนกนักเรียน เพื่อเป็นแนวทางแก่ครูที่ปรึกษาในกรณีที่นักเรียนกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มที่มีปัญหามีพฤติกรรมที่ไม่ดีขึ้น ที่จำต้องต้องส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และควรมีการบันทึกข้อมูลนักเรียนให้ถูกต้องชัดเจนตามความเป็นจริงก่อนการส่งต่อนักเรียน เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถแก้ปัญหานักเรียนได้อย่างถูกต้อง รวมถึงการจัดทำเอกสารการส่งต่อและเอกสารติดตามผลการส่งต่อที่ชัดเจน โรงเรียนควรทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง เพื่อให้เข้าใจเหตุผลการส่งต่อนักเรียน