ชื่อเรื่อง รายงานผลการประเมินโครงการนิเทศภายในโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหารโดยใช้รูปแบบการประเมินแบบซิปป์โมเดล (CIPP Model) ปีการศึกษา 2564
ผู้วิจัย นางสาวสายพิน สมศรี
สังกัด โรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา
ปีการศึกษา 2564
บทคัดย่อ
การวิจัยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อประเมินด้านบริบท (Context) ของประเมินโครงการนิเทศภายในโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร 2) เพื่อประเมินด้านปัจจัยนำเข้า (Input) ของโครงการนิเทศภายในโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร 3) เพื่อประเมินด้านกระบวนการดำเนินงาน (Process) ของประเมินโครงการนิเทศภายในโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร 4) เพื่อประเมินด้านผลผลิต (Product) ของประเมินโครงการนิเทศภายในโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร และ 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อโครงการนิเทศภายในโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร โดยกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 912 คน ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 201 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 15 คน (เลือกแบบเจาะจง) นักเรียนระดับชั้น ม.1 ถึง ม.6 จำนวน 348 คน (กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรทาโร่ ยามาเน เลือกสุ่มแบบจับสลาก) และผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร จำนวน 348 คน (เป็นผู้ปกครองของนักเรียนที่สุ่มได้) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม จำนวน 4 ฉบับ สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกัน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติพื้นฐาน ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.)
สรุปผลการวิจัย
1. ผลการประเมิน ด้านบริบท พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีระดับความเห็นด้านบริบทอยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.40) และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีระดับความเห็นด้านบริบทอยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.18)
2. ผลการประเมิน ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีระดับความเห็น ด้านปัจจัยนำเข้า อยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.30) และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีระดับความเห็นด้านปัจจัยนำเข้า อยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.08)
3. ผลการประเมิน ด้านกระบวนการ พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีระดับความเห็นด้านกระบวนการ อยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.36) และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีระดับความเห็นด้านกระบวนการ อยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.21)
3.1 ผลการประเมิน ด้านผลผลิตในด้านผู้เรียน พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีระดับ
ความเห็นในด้านผู้เรียน อยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.31) คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีระดับความเห็นในด้านผู้เรียน อยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.14) นักเรียน มีระดับความเห็นในด้านผู้เรียน อยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.32) และผู้ปกครองนักเรียน มีระดับความเห็นในด้านผู้เรียน อยู่ในระดับมาก ( = 4.30)
3.2 ในด้านครูผู้สอน พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีระดับความเห็นในด้านครูผู้สอน อยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.34) คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีระดับความเห็นในด้านครูผู้สอน อยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.21) นักเรียน มีระดับความเห็นในด้านครูผู้สอน อยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.26) และผู้ปกครองนักเรียน มีระดับความเห็นในด้านครูผู้สอน อยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.37)
3.3ในด้านผู้บริหารโรงเรียน พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีระดับความเห็นในด้านผู้บริหารโรงเรียน อยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.36) คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีระดับความเห็นในด้านผู้บริหารโรงเรียน อยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.17) นักเรียน มีระดับความเห็นในด้านผู้บริหารโรงเรียน อยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.23) และผู้ปกครองนักเรียน มีระดับความเห็นในด้านผู้บริหารโรงเรียน อยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.28)
4. ความพึงพอใจต่อโครงการนิเทศภายใน พบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีความพึงพอใจต่อโครงการนิเทศภายในอยู่ในระดับมาก ( x̄= 4.33) คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความพึงพอใจต่อโครงการนิเทศภายในอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.16) และผู้ปกครองนักเรียน มีความพึงพอใจต่อโครงการนิเทศภายในอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.29)
ข้อเสนอแนะ ครูและบุคลากรทางการศึกษา และคณะกรรมการผู้ดำเนินงานควรศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ คณะกรรมการผู้ดำเนินงานควรต้องวางแผน เขียนเป็นโครงการนิเทศ ที่เหมาะสม การปฏิบัติการนิเทศควรทำตามโครงการนิเทศที่คำนึงถึงหลักการนิเทศ เทคนิค ทักษะ สื่อ และเครื่องมือนิเทศ การเตรียมความพร้อมสร้างความเข้าใจ คณะกรรมการผู้ดำเนินงานควรต้องประเมิน ตรวจสอบผลการดำเนินการนิเทศตามโครงการ และประเมินความคิดเห็น กระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน รวมถึงนำผลการประเมินใช้เป็นข้อมูลป้อนกลับเพื่อการปรับปรุงเสมอ และผู้บริหารโรงเรียนควรตะหนักเห็นความสำคัญของการจัดการความรู้โดยการนิเทศภายในให้แก่บุคลากรในโรงเรียน