รายงานการประเมินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 โดยประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินแบบซิปป์ (CIPP Model) ของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) เป็นแนวทางการประเมินเพื่อต้องการทราบความก้าวหน้าและผลสำเร็จของการดำเนินงานของโครงการ ทั้งด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการและด้านผลผลิตของโครงการ ประกอบด้วยระดับคุณภาพในการดำเนินโครงการ การมีส่วนร่วมของนักเรียน ครู ผู้ปกครองและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการดำเนินโครงการ การพัฒนาทางด้านทักษะอาชีพของนักเรียน ความพึงพอใจของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีต่อการดำเนินโครงการ
วัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการ
1. เพื่อประเมินบริบทหรือสภาพแวดล้อมของโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 เกี่ยวกับความต้องการจำเป็นในการดำเนินโครงการ ความเหมาะสมของวัตถุประสงค์ ความสอดคล้องกับนโยบายของหน่วยงานต้นสังกัด และความเป็นไปได้ของโครงการ
2. เพื่อประเมินปัจจัยนำเข้าของการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 เกี่ยวกับความพร้อมของบุคลากร ความเพียงพอของงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ และอาคารสถานที่ การบริหารจัดการ และหน่วยงานที่สนับสนุนโครงการ
3. เพื่อประเมินกระบวนการของการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 เกี่ยวกับการวางแผนการดำเนินงาน (Plan) การดำเนินการจัดกิจกรรม (Do) การติดตามและประเมินผล (Check) และการนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนา (Action)
4. เพื่อประเมินผลผลิตของโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 ในประเด็นต่อไปนี้
4.1 คุณภาพในการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564
4.2 การมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564
4.3 ทักษะอาชีพของนักเรียน ตามตัวบ่งชี้ที่โรงเรียนกำหนด ปีการศึกษา 2564
4.4 ความพึงพอใจของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีต่อการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564
ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงาน
การประเมินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 ในครั้งนี้ ผู้รายงานได้แบ่งการประเมินออกเป็น 4 ด้าน ตามลำดับของการดำเนินงานตามโครงการ 3 ระยะ ดังนี้
1. ประเมินก่อนดำเนินโครงการ จะดำเนินการประเมิน 2 ด้าน ได้แก่
1.1 การประเมินด้านบริบทหรือสภาพแวดล้อมของโครงการโดยการสอบถามครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เกี่ยวกับความต้องการจำเป็นในการดำเนินโครงการ ความเหมาะสมของวัตถุประสงค์ ความสอดคล้องกับนโยบายของหน่วยงานต้นสังกัด และความเป็นไปได้ของโครงการ
1.2 การประเมินด้านปัจจัยนำเข้าโดยการสอบถามครู เกี่ยวกับความพร้อมของบุคลากร ความเพียงพอของงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์และอาคารสถานที่ การบริหารจัดการ และหน่วยงานที่สนับสนุนโครงการ
2. การประเมินระหว่างดำเนินโครงการ โดยการสอบถามนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เกี่ยวกับการวางแผนการดำเนินงาน การดำเนินการจัดกิจกรรม การติดตามและประเมินผล และการนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนา
3. การประเมินหลังสิ้นสุดโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 เป็นการประเมินด้านผลผลิต (Product Evaluation) ที่เกิดขึ้นหลังเสร็จสิ้นโครงการ ดังนี้
3.1 คุณภาพในการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 โดยการสอบถาม นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
3.2 การมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 โดยการสอบถาม นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
3.3 ทักษะอาชีพของนักเรียน ตามตัวบ่งชี้ที่โรงเรียนกำหนด ปีการศึกษา 2564 โดยการสอบถาม ครู และผู้ปกครอง
3.4 ความพึงพอใจของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีต่อการดำเนินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564
สรุป อภิปรายผล ช้อเสนอแนะและการนำไปใช้ประโยชน์
ผลการประเมินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำของนักเรียนโรงเรียนกำแพงวิทยา ปีการศึกษา 2564 สรุปผลได้ดังนี้
1. ผลการประเมินด้านบริบทตามความคิดเห็นของครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยภาพรวมทุกกลุ่มที่ประเมินมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อพิจารณาตามกลุ่มผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับมาก ส่วนกลุ่มครู อยู่ในระดับมากเช่นกัน
2. ผลการประเมินด้านปัจจัยนำเข้า โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามประเด็นตัวชี้วัด พบว่า ด้านหน่วยงานที่สนับสนุนโครงการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านความพร้อมของบุคลากร อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านความเพียงพอของงบประมาณมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด อยู่ในระดับมากเช่นกัน
3. ผลการประเมินด้านกระบวนการ ตามความคิดเห็นของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยภาพรวมทุกกลุ่มที่ประเมินมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ได้คะแนนเฉลี่ย 20 ผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณาตามกลุ่มผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ กลุ่มครู อยู่ในระดับมาก ส่วนกลุ่มนักเรียนและกลุ่มผู้ปกครอง มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากัน คือ กลุ่มนักเรียน อยู่ในระดับมาก และกลุ่มผู้ปกครอง อยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยทุกกลุ่มที่ประเมินได้คะแนนเฉลี่ย 20 ผ่านเกณฑ์การประเมิน
4. ผลการประเมินด้านผลผลิต จำแนกเป็น
4.1 ผลการประเมินด้านผลผลิตของโครงการเกี่ยวกับคุณภาพในการดำเนินโครงการ ตามความคิดเห็นของนักเรียน ครู ผู้ปกครองและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยภาพรวมทุกกลุ่มที่ประเมินมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ได้คะแนนเฉลี่ย 15 ผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณาตามกลุ่มผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีค่าเฉลี่ยสูงสุด มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ กลุ่มนักเรียนมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก และกลุ่มผู้ปกครอง มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ส่วนกลุ่มครู มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด มีคุณภาพอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยทุกกลุ่มที่ประเมินได้คะแนนเฉลี่ย 15 ผ่านเกณฑ์การประเมิน
4.2 ผลการประเมินด้านผลผลิตของโครงการเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการ ตามความคิดเห็นของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยภาพรวมทุกกลุ่มที่ประเมินมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ได้คะแนนเฉลี่ย 10 ผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณาตามกลุ่มผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด มีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากรองลงมา คือ กลุ่มนักเรียน มีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก และกลุ่มผู้ปกครอง มีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก ส่วนกลุ่มครู มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด มีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยทุกกลุ่มที่ประเมินได้คะแนนเฉลี่ย 10 ผ่านเกณฑ์การประเมิน
4.3 ผลการประเมินด้านผลผลิตของโครงการ ตามความคิดเห็นของครูและผู้ปกครอง โดยภาพรวมทุกกลุ่มที่ประเมินมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ได้คะแนนเฉลี่ย 15 ผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณาตามกลุ่มผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มครู มีค่าเฉลี่ยสูงสุด มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ส่วนกลุ่มผู้ปกครอง มีคุณภาพอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยทุกกลุ่มที่ประเมินได้คะแนนเฉลี่ย 15 ผ่านเกณฑ์การประเมิน
4.4 ผลการประเมินด้านผลผลิตตามความคิดเห็นของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยภาพรวมทุกกลุ่มที่ประเมินมีค่าเฉลี่ยมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ได้คะแนนเฉลี่ย 10 ผ่านเกณฑ์การประเมิน เมื่อพิจารณาตามกลุ่มผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มครู มีค่าเฉลี่ยสูงสุด มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ กลุ่มนักเรียน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และกลุ่มผู้ปกครอง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ส่วนกลุ่มคณะกรรมการสถาน ศึกษาขั้นพื้นฐาน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยทุกกลุ่มที่ประเมินได้คะแนนเฉลี่ย 10 ผ่านเกณฑ์การประเมิน
ข้อเสนอแนะเพื่อนำผลการประเมินไปใช้
1. ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมสนับสนุนให้ปราชญ์ชาวบ้าน และสถานประกอบการในชุมชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ ร่วมวางแผนการดำเนินงาน และทำความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของปราชญ์ชาวบ้าน และสถานประกอบการในการดูแลนักเรียนที่ไปฝึกทักษะทางด้านอาชีพ ให้คำแนะนำในการปฏิบัติงาน ควบคุมดูแลการปฏิบัติงาน ร่วมมือในการแก้ปัญหาของนักเรียน ให้ความคิดเห็นและเสนอแนะเกี่ยวกับการฝึกทักษะอาชีพของนักเรียน และประเมินทักษะอาชีพของนักเรียนร่วมกับครูที่รับผิดชอบ
2. ผู้บริหารสถานศึกษาควรชี้แจงทำความเข้าใจ สร้างความร่วมมือ สนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รวมถึงพัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีพ ในส่วนของครูควรกระตุ้นให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมทุกขั้นตอน
3. ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ควรจัดประชุมทำความเข้าใจกับนักเรียนถึงบทบาทหน้าที่ของนักเรียนในการเรียนรู้ทางด้านอาชีพตามรูปแบบที่โรงเรียนได้วางไว้ และครูต้องคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักเรียนขณะที่นักเรียนทำกิจกรรมสร้างเสริมประสบการณ์อาชีพด้วยตนเอง
4. การดำเนินการสร้างเสริมประสบการณ์อาชีพทั้ง 3 รูปแบบ ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ มีการประสานงานที่ดีและเข้าใจตรงกันของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งควรมีการประเมินทักษะอาชีพของนักเรียน ตามตัวชี้วัดที่โรงเรียนกำหนดอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพให้กับนักเรียน
5. ควรสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการสร้างเสริมประสบการณ์อาชีพของนักเรียนอย่างหลากหลายตามความสนใจของนักเรียนแต่ละคน