ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

ชื่อเรื่อง รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

ชื่อผู้วิจัย นางพัชราวรรณ อนังคพันธ์

สถานศึกษา โรงเรียนหนองแต้วรวิทย์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต2

ปีที่ศึกษา 2565

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อสร้างและหาคุณภาพของรูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพ 80/80 3) เพื่อศึกษาผลการทดลองใช้และเปรียบเทียบกระบวนการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนก่อนและหลังการเรียนรู้ โดยรูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 4) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา คือ หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนหนองแต้วรวิทย์ การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แนวคิดทฤษฎีกระบวนการคิดแก้ปัญหา การสนทนากลุ่มของครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนในกลุ่มตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ การสนทนากลุ่มของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 การสอบถามนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนหนองแต้วรวิทย์ การสอบถามครูโครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนในกลุ่มตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ และการสอบถามผู้ปกครอง แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการสร้างและหาคุณภาพของรูปแบบการเรียนรู้ คือ นักเรียนโรงเรียนหนองแต้วรวิทย์ ประกอบด้วย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2560 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 3 คน สำหรับการทดลองรายบุคคล นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 9 คน สำหรับการทดลองกลุ่มเล็ก และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 9 คน สำหรับการทดสอบภาคสนามแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาผลการทดลองใช้และประเมินรูปแบบการเรียนรู้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนหนองแต้วรวิทย์ จำนวน 9 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) เครื่องมือที่ใช้ประกอบการใช้รูปแบบการเรียนรู้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับรูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดกระบวนการคิดแก้ปัญหา แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x ̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) การทดสอบค่าที (t-test แบบ Dependent)

1. ผลการวิจัยพบว่า

1. ความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา ในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย(x ̅) เท่ากับ 2.93 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) เท่ากับ 0.88 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน โดยด้านครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ มีค่าเฉลี่ย (x ̅) ต่ำสุด เท่ากับ 2.60 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) เท่ากับ 0.83 คะแนนรองลงมา คือด้านการจัดการเรียนการสอนและเทคนิคการสอนมีค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 2.99 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) เท่ากับ 1.02 และด้านนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ค่าเฉลี่ย (x ̅) ต่ำสุด 3.19 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) เท่ากับ 0.79 ระดับความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการความต้องการในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย(x ̅) เท่ากับ 4.61 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.60 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยด้านครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ มีค่าเฉลี่ย (x ̅) มากที่สุด 4.73 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.90 คะแนนรองลงมา คือด้านการจัดการเรียนการสอนและเทคนิคการสอน มีค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.59 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.57 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.51 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.32

ความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา ในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 2.61 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 1.69 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ มีค่าเฉลี่ย (x ̅) ต่ำสุด มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 2.55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.90 คะแนนรองลงมาคือ ประเมินด้านนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 2.49 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.19 และประเมินด้านการจัดการเรียนการสอนและเทคนิคการสอน มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลางค่าเฉลี่ย เท่ากับ 2.80 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.60 ความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับความต้องการในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.51 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.57 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการประเมินครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ มีค่าเฉลี่ย (x ̅) สูงสุด โดยมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุดค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.63 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.90 คะแนนรองลงมาคือ ด้านการประเมินการจัดการเรียนการสอนและเทคนิคการสอน มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.51 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.45 และการประเมินด้านนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.36

2. รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประกอบด้วย องค์ประกอบที่สำคัญ 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ที่เป็นพื้นฐานของรูปแบบการเรียนรู้ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียนรู้ 3) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบการเรียนรู้ ประกอบด้วยขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ขั้น คือขั้นที่ 1 กำหนดกติกา (Rules) ขั้นที่ 2 สร้างศรัทธาให้ผู้เรียน (Attention) ขั้นที่ 3 พากเพียรรู้ปัญหา (Problem Topic) ขั้นที่ 4 ศึกษาสาเหตุและไตร่ตรอง (Cause Analysis) ขั้นที่ 5 ทดลองและเก็บข้อมูล (Experimental) ขั้นที่ 6 เพิ่มพูนปัญญา (Data Analysis) ขั้นที่ 7 นำวิชาไปใช้จริง (Using) 4) การวัดและประเมินผลของรูปแบบการรูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.94/82.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 80/80

3. ผลการใช้รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นพบว่า หลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 และผลการทดสอบวัดกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

4. ผลการประเมินการใช้รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

4.1 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.74 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 1.49

4.2 ครูมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมมีค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.60 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.49

4.3 ผู้ปกครองมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้รูปแบบการร่วมมือค้นคว้าหาความรู้ ที่ส่งเสริมกระบวนการคิดแก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมมีค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.69 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.58

โพสต์โดย wanna : [4 ต.ค. 2565 เวลา 09:22 น.]
อ่าน [2311] ไอพี : 27.145.139.199
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 38,522 ครั้ง
Verbs: Active/Passive Voices
Verbs: Active/Passive Voices

เปิดอ่าน 15,834 ครั้ง
โทรภาพ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 7
โทรภาพ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 7

เปิดอ่าน 14,818 ครั้ง
ระบบสุริยะอาจสูญสลาย! เมื่อนักดาราศาสตร์พบปรากฏการณ์ "ดาวมรณะ" กลืนดาวบริวาร
ระบบสุริยะอาจสูญสลาย! เมื่อนักดาราศาสตร์พบปรากฏการณ์ "ดาวมรณะ" กลืนดาวบริวาร

เปิดอ่าน 26,859 ครั้ง
กำเนิด 4 อาชีพใหม่ไอที
กำเนิด 4 อาชีพใหม่ไอที

เปิดอ่าน 7,731 ครั้ง
ลองอ่าน"เมื่อเฟซบุ๊คเฉลยปริศนา เพราะอะไรเราจึงไม่มีปุ่มคลิก"dislike"(ไม่ชอบ) ให้พวกคุ
ลองอ่าน"เมื่อเฟซบุ๊คเฉลยปริศนา เพราะอะไรเราจึงไม่มีปุ่มคลิก"dislike"(ไม่ชอบ) ให้พวกคุ

เปิดอ่าน 23,468 ครั้ง
สรรพคุณทางยาของ "บวบหอม"
สรรพคุณทางยาของ "บวบหอม"

เปิดอ่าน 14,757 ครั้ง
"พรมมิ" วัชพืชบำรุงสมอง
"พรมมิ" วัชพืชบำรุงสมอง

เปิดอ่าน 21,560 ครั้ง
อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ซ้ำร้าย "อ่านน้อย" จับประเด็นไม่ได้ วิกฤตใหญ่ที่ไทยต้องแก้
อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ซ้ำร้าย "อ่านน้อย" จับประเด็นไม่ได้ วิกฤตใหญ่ที่ไทยต้องแก้

เปิดอ่าน 62,401 ครั้ง
การเบิกค่าเช่าบ้าน
การเบิกค่าเช่าบ้าน

เปิดอ่าน 12,064 ครั้ง
ขอบพระคุณคอลัมน์ "คลิกเฮียร์" หนังสือพิมพ์"เดลินิวส์"
ขอบพระคุณคอลัมน์ "คลิกเฮียร์" หนังสือพิมพ์"เดลินิวส์"

เปิดอ่าน 19,815 ครั้ง
ระเบียบการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน นอกเหนือจากเงินเดือน (2)
ระเบียบการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน นอกเหนือจากเงินเดือน (2)

เปิดอ่าน 16,779 ครั้ง
คืนครูสู่ห้องเรียน
คืนครูสู่ห้องเรียน

เปิดอ่าน 10,080 ครั้ง
ปัญหา คือ การเรียนรู้ ?
ปัญหา คือ การเรียนรู้ ?

เปิดอ่าน 79,832 ครั้ง
สำนวนไทย
สำนวนไทย

เปิดอ่าน 5,560 ครั้ง
ตั๋วเครื่องบินไประนอง ดูโปรดี ๆ พร้อมเที่ยวบินราคาถูก
ตั๋วเครื่องบินไประนอง ดูโปรดี ๆ พร้อมเที่ยวบินราคาถูก

เปิดอ่าน 12,464 ครั้ง
"มัสมั่น"ของไทยคว้าแชมป์จานอร่อยจาก 50 อันดับเมนูเด็ดทั่วโลก
"มัสมั่น"ของไทยคว้าแชมป์จานอร่อยจาก 50 อันดับเมนูเด็ดทั่วโลก
เปิดอ่าน 11,053 ครั้ง
กลุ่มคน 1%ของโลก ครอบครองทรัพย์สินกว่าครึ่งโลก
กลุ่มคน 1%ของโลก ครอบครองทรัพย์สินกว่าครึ่งโลก
เปิดอ่าน 74,399 ครั้ง
การเรียนรู้ตลอดชีวิต คืออะไรและสำคัญตรงไหน แล้วเกี่ยวอะไรกับปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
การเรียนรู้ตลอดชีวิต คืออะไรและสำคัญตรงไหน แล้วเกี่ยวอะไรกับปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
เปิดอ่าน 252,753 ครั้ง
มาตรฐานวิชาชีพครู
มาตรฐานวิชาชีพครู
เปิดอ่าน 15,829 ครั้ง
สุขภาพปากและฟันกับโรคหัวใจ
สุขภาพปากและฟันกับโรคหัวใจ

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ