ชื่อเรื่อง การนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของ
ครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3
ผู้วิจัย นายกรุงศรี ศิริปะกะ
หน่วยงาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3
ปีที่พิมพ์ 2563 จำนวนหน้า 324 หน้า
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 และ 2) ศึกษาผลการนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 โดยใช้วิจัยเชิงปฏิบัติการ 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) การวางแผน (Planning) 2) การปฏิบัติ (Action) 3) การสังเกต (Observation) และ 4) การสะท้อนผล (Reflection) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้ร่วมศึกษา และกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้มาทั้งการสุ่มแบบง่าย และการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ เอกสารประกอบ แบบวัดความรู้ครู แบบประเมินความสามารถด้านการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาไทย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามผู้เกี่ยวข้องและแบบสัมภาษณ์นักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการศึกษาพบว่า
1. ผลการศึกษาการนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3
จากการศึกษาเอกสาร วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า การนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 มี 2 องค์ประกอบ คือ 1) การนิเทศแบบบูรณาการ 2) การนิเทศแบบเน้นการพัฒนา ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1) การวิเคราะห์คุณค่าของตน (Analysis of Self - value) 2) กำหนดผลเพื่อพัฒนา (Define goals to develop) 3) สรรหาวิทยาการ (Seek of knowledge) 4) ปฏิบัติงานเข้มแข็ง (Work Hard) 5) ร่วมแสดงผลงาน (Be show of product)
การนำสู่ปฏิบัติ มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกตและการสะท้อนผล หลังจากนั้นสนทนากลุ่มผู้วิจัยและเครือข่ายผู้วิจัย จำนวน 4 คน เพื่อกำหนดแนวทางการนำสู่การปฏิบัติผ่าน 4 ขั้นตอน (การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกตและการสะท้อนผล) และสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (เอกสารประกอบ แบบวัดความรู้ครู แบบประเมินความสามารถด้านการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาไทย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามผู้เกี่ยวข้องและแบบสัมภาษณ์นักเรียน) มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ
2. ผลการนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3
1) ผลการเปรียบเทียบความสามารถของครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก วงรอบที่ 1-2 พบว่า
วงรอบที่ 1 ครูจัดการเรียนรู้เชิงรุก จำนวน 17 ชั่วโมง และวงรอบที่ 2 ครูจัดการเรียนรู้เชิงรุก จำนวน 30 ชั่วโมง
2) ผลการศึกษาผลการจัดกิจกรรมพัฒนาครู
2.1) ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 จากข้อมูลการสัมภาษณ์และบันทึกการสังเกตทำให้ผู้ร่วมการศึกษาเกิดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการดำเนินงานต่างๆ สามารถกำหนดกระบวนการดำเนินงานตามแผนงาน มีหลักการแนวทางและวิธีการที่ชัดเจนและนำข้อมูลที่ได้จากการประชุมเชิงปฏิบัติการนี้มาประชุมปรึกษาหารือวิเคราะห์วิจารณ์ร่วมกันสรุปรายงานต่อที่ประชุมเพื่อวางแผนพัฒนาต่อไป ผลการวิจัยเป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้ร่วมวิจัยได้รับการพัฒนาจนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีกระบวนการในการปฏิบัตินำไปสู่ความมั่นใจในการพัฒนาครู
2.2) ผลการเปรียบเทียบความรู้ของครูผู้สอนก่อนและหลังการพัฒนาตามกระบวนการ
ที่พัฒนาขึ้น พบว่า ครูผู้สอนทั้ง 6 คน เข้าร่วมการอบรมปฏิบัติการครบทั้ง 2 วัน สามารถทำใบงานหน่วยที่ 1-9 ได้ถูกต้องและคะแนนวัดความรู้ของครูหลังการพัฒนาด้านการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 16.00 คิดเป็นร้อยละ 80.00 และเมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนวัดความรู้ของครูก่อนการพัฒนาและหลังพัฒนา พบว่า มีค่าเท่ากับ 38.89/80.00 แสดงว่า หลังการพัฒนาครูมีความรู้เพิ่มขึ้น
2.3) ผลการเปรียบเทียบการนิเทศ ติดตามผลครูในการนำความรู้สู่การปฏิบัติจริงในชั้นเรียน
วงรอบที่ 1-2 พบว่า วงรอบที่ 1 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.38 ครูทำไม่ได้หรือต้องการพัฒนามากและวงรอบที่ 2 มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 2.60 ครูทำได้ดีมากและเมื่อเปรียบเทียบกับผลการนิเทศ ติดตามผลครูในการนำความรู้สู่การปฏิบัติจริงในชั้นเรียนวงรอบที่ 1 และวงรอบที่ 2 พบว่า มีค่าเท่ากับ 1.38/2.60 แสดงว่า วงรอบที่ 2 ครูนำความรู้สู่การปฏิบัติจริงในชั้นเรียนเพิ่มขึ้น
3) ผลการศึกษาการนำสู่การปฏิบัติ
3.1) ผลการประเมินความสามารถของครูด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ครั้งที่ 1/2 เท่ากับ
38.70/80.68 แสดงว่า หลังรับการนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาครูมีความสามารถด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพิ่มขึ้น
3.2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน วงรอบที่ 1-2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ครั้งที่ 1/2 เท่ากับ 38.95/81.40 แสดงว่า หลังการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนที่ได้รับการนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาแล้วส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น
4) ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องต่อการนิเทศแบบคลินิกเน้นพัฒนาเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ผู้ปกครองนักเรียนและชุมชนมีความพึงพอใจระดับมากที่สุด และผลการสังเคราะห์ความต้องการให้มีการนิเทศบ่อยครั้งเพียงใด ตามความคิดของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ผู้ปกครองนักเรียน พบว่า ต้องการให้นิเทศการสอนครูให้มีความถี่มากที่สุด โดยดูจากการทำงานร่วมกันของครูผู้สอนกับศึกษานิเทศก์เริ่มจากการประชุมร่วมกันระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ทีมสังเกตชั้นเรียนและศึกษานิเทศก์เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกัน วางแผนการทำงานร่วมกัน หลังจากนั้นร่วมกันออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ นัดหมายสังเกตการสอน สะท้อนผล และมีการปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันเมื่อออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาต่อไปอีก นัดวันสังเกตการสอน สะท้อนผล ซึ่งการทำงานร่วมกันครูผู้สอนคนหนึ่งๆ จะใช้วงรอบในการทำงานร่วมกันมากหรือน้อยครั้ง ขอให้ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนและทีมสังเกตชั้นเรียนร่วมกันสรุปผลว่า พฤติกรรมการสอนของครู การบริหารจัดการชั้นเรียนดีมากน้อยเพียงใด หากครูมีพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้และการบริหารจัดการชั้นเรียนผ่านเกณฑ์ สามารถหยุดวงจรการนิเทศกับครูผู้สอนรายนั้นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ ครูผู้สอนและทีมสังเกตชั้นเรียน และนักเรียนต้องการให้มีผู้สังเกตการสอนในชั้นเรียน เพราะทำให้บรรยากาศของการเรียนดีขึ้น ครูสอนได้ดีขึ้น ครูมีสื่อ มีแผนภูมิ มีบัตรภาพ มีบัตรคำ ครูมีการสอนผ่านสื่อหรือจอคอมพิวเตอร์ ครูใช้สื่อการสอนอย่างหลากหลาย ทำให้เข้าใจบทเรียนยิ่งขึ้น ครูมีใบงาน/ใบกิจกรรมให้ทำ มีเกม มีเพลงให้ร้อง ได้ทำท่าประกอบเพลง ส่วนนักเรียนจะนั่งอยู่กับที่ ไม่เดินเพ่นพ่าน ได้ทำงานกลุ่ม ได้ช่วยเหลือกันในการทำงาน ได้แก้ปัญหาด้วยตนเอง ได้นำเสนอหน้าชั้นเรียน ได้ฝึกพูดนำเสนอผ่านไมโครโฟน นักเรียนจะรู้สึกเกร็งและตื่นเต้นบ้างเมื่อมีคนอื่นมานั่งสังเกตการสอน เมื่อมีคนอื่นมาเดินดูขณะเด็กทำงาน บางครั้งก็รู้สึกกดดันกลัวทำไม่ได้ กลัวทำให้ผู้ปกครองขายหน้าเวลานำเสนองานแล้วไม่ได้ผลดี ครูจัดการเรียนรู้สนุก นักเรียนได้แสดงออก ทำให้มีความสุข อยากให้มีคนมานั่งหลังห้อง ดูครูสอน เพราะทำให้นักเรียนไม่เล่น ไม่คุยกัน นักเรียนได้เรียนรู้เต็มที่ และอยากศึกษานิเทศก์มานั่งหลังห้องบ่อยครั้งขึ้นและมาอย่างต่อเนื่อง