ความเป็นมา/แนวคิด
ประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์เพื่อการเรียนรู้และเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต สังคมและประเทศชาติจะก้าวสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงและเจริญก้าวหน้าได้เพียงใดขึ้นอยู่กับคนเราในสมัยปัจจุบันจะสามารถแก้ปัญหาปัจจุบันและเตรียมรับมือกับอนาคต โดยอาศัยการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ได้เพียงใด ประเทศต่าง ๆ ที่พัฒนาแล้วทั้งหลายล้วนแต่ใช้ประโยชน์จากวิชาประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น ในการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาประวัติศาสตร์ ชาติไทยและพัฒนาทักษะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้ภาคภูมิใจความเป็นมาของชนชาติไทยและตระหนักถึงความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งการจัดการเรียนรู้อาจจัดได้ทั้งรูปแบบกิจกรรมในห้องเรียน และกิจกรรมนอกห้องเรียน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2560) และประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างคนให้เป็นพลเมืองดี อันเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้เนื้อหาวิชาเกี่ยวข้องกับสมาชิกในสังคมและการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สามารถรักษาอารยธรรมของชาติซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม : สาระประวัติศาสตร์ที่เน้นพัฒนาผู้เรียนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ ที่มีความสมดุล มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลเมืองโลกยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) จากการวิเคราะห์หาสาเหตุที่ส่งผลต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของผู้เรียน โรงเรียนบ้านตรัง ผ่านการสอบถามจากผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียนของผู้เรียน การศึกษาบันทึกผลหลังสอน พบว่า การจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ เป็นการเรียนที่น่าเบื่อ ผู้เรียนไม่เห็นประโยชน์ของการเรียน ครูผู้สอนมักเน้นการท่องจำและการสอนแบบบรรยาย การทำแบบฝึกหัด เป็นผลทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย โดยเฉพาะนักเรียนที่เรียนปานกลาง หรือเรียนอ่อน จะไม่สนใจเรียนมาก ซึ่งในปัจจุบันโลกและสิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วยิ่งมีผลกระทบต่อสภาพของสังคมที่ต้องเตรียมคนให้สามารถเผชิญกับยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง การศึกษาจึงมีความสำคัญ และมีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศ รูปแบบการจัดการศึกษาจึงมีการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งหัวใจสำคัญประการหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2551 คือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนรู้โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนคิดเป็นวิเคราะห์เป็นและสร้างองค์ความรู้ได้ (บัญชรี ณ ลำพูน, 2563)
จากความสำคัญของปัญหาดังกล่าว ผู้รายงานจึงได้สร้างแบบฝึกทักษะ ชุด ประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ขึ้น เพื่อมุ่งหวังพัฒนารูปแบบการสอนประวัติศาสตร์ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และรักการเรียนรู้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทยได้ต่อไป
วัตถุประสงค์ของการพัฒนา
1. เพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะ ชุดประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุดประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม
3. เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุดประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม
วิธีการดำเนินการ
1. ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย
1. ประชากร เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตรัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 2 จำนวน 20 คน
2. กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตรัง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 2 จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
ขอบเขตของเนื้อหา
1. เนื้อหาที่ใช้ในการพัฒนาใช้เนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจ และธำรงความเป็นไทย
2. ระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ใช้เวลา 17 ชั่วโมง เนื่องด้วยสถานการณ์ช่วงโควิด ผู้รายงานจึงใช้รูปแบบการสอนแบบผสมผสาน ทั้งในรูปแบบ On line / On Demand และการจัดรูปแบบ On-site โดยการนัดเด็กกลุ่มเล็กมาดำเนินการสอนกลุ่มละ 10 คน สัปดาห์ละ 1 วัน วันละ 2 ชั่วโมง นักเรียนจะเป็นผู้เลือกรวมกลุ่มกันเอง ครูดำเนินการสอนในห้องเรียนและมอบหมายกิจกรรมในแบบฝึกกลับไปทำที่บ้าน และใช้ช่องทาง Group line ห้องเรียนในการสอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ ได้เพิ่มเติม
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
จากการใช้แบบฝึกทักษะ ชุดประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง การเรียนรู้ และการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตรัง จำนวน 20 คน ผู้รายงานขอเสนอผลที่ได้รับ ตามลำดับ ดังนี้
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ ชุดประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 82.88 / 80.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80
2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุดประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังเรียนเพิ่มสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อแบบฝึกทักษะ ชุดประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม โดยภาพรวมนักเรียนมี ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( ) = 4.16 / S.D. = 0.34