ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
อนุบาลเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
ผู้วิจัย นายดาวลอย พิมพิบาล ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
ปีที่วิจัย 2564
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) สร้างและหาคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3) ทดลองใช้และหาประสิทธิภาพของการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 4) ศึกษาผลการใช้การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของรูปแบบ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 28 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ประเมินผลการใช้รูปแบบ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 30 คน ทั้งสองกลุ่มได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย 1) เครื่องมือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ และคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลและการประเมิน ได้แก่ 1. การเก็บรวบรวมข้อมูลและการประเมินความเหมาะสม ได้แก่ แบบสอบถาม แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินความเหมาะสมของคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2. การประเมินผลการใช้รูปแบบ ได้แก่ แบบทดสอบทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบโดยใช้สถิติ ttest แบบ Dependent Samples และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. การศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขด้านการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวนร้อยละ 63.33 มีผลการวัดประเมินทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ อยู่ในระดับคะแนนต่ำกว่าร้อยละ 50 ผลของการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการสอบถามและการสัมภาษณ์ครูผู้สอน การสัมภาษณ์นักเรียน การสนทนากลุ่มครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ครูผู้สอนแต่ละระดับชั้นยังประสบปัญหาอยู่ในการจัดการเรียนรู้พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในระดับมากที่สุด ส่วนแนวทางการแก้ไขและข้อเสนอแนะของครูผู้สอน ได้แก่ การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้วยรูปแบบที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ดังกล่าว
2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีองค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล โดยกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีขั้นตอนในการจัดกิจกรรม 4 ขั้น ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 ขั้นพบสถานการณ์ปัญหา (Encountered a problem : E) ขั้นที่ 2 ขั้นศึกษาค้นคว้า (Research : R) ขั้นที่ 3 ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ (Apply Knowledge : A) และ ขั้นที่ 4 ขั้นตรวจสอบและประเมินผล (Evaluation : E)
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า
3.1 ประสิทธิภาพของของรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 84.18/82.21 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 และเป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
3.2 ดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.6560 ซึ่งแสดงว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ส่งผลให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 65.60
4. ผลการประเมินการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
พบว่า
4.1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4.2 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด