ชื่อเรื่อง ผลการใช้รูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2
ผู้วิจัย ภทรภรณ์ พลขันธ์
ปีที่พิมพ์ 2564
คำสำคัญ รูปแบบ, การนิเทศภายใน, การนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน และความต้องการ ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 2) พัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 4) ศึกษาระดับความพึงพอใจของครู ที่มีต่อผลการใช้รูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 ขั้นตอนการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะ ที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน และความต้องการ ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู ของโรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 ระยะที่ 3 ศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยระยะที่ 1 คือ 1) ครูโรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยาทั้งหมด 5 คน 2) คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งหมด 7 คน 3) ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 8 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง จากผู้ปกครองนักเรียนชั้นละ 1 คน 4) ผู้เชี่ยวชาญ ที่เป็นผู้บริหารโรงเรียนที่มีผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET, NT, RT) สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับชาติ อย่างน้อย 2 ปีการศึกษาติดต่อกัน จำนวน 5 คน กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยระยะที่ 2 ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญในการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการนิเทศภายในในครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ จำนวน 7 คน กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยระยะที่ 3 คือ 1) ครูโรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา ทั้งหมด 5 คน 2) นักเรียน ปีการศึกษา 2563 จำนวน 71 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญ (PNImodified) ผลการวิจัย พบว่า
1. สภาพปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนของครู โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 พบว่า โดยรวมมีการดำเนินการอยู่ในระดับปานกลาง (µ=3.06) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่ครูมีการปฏิบัติในระดับที่น้อยที่สุด คือ ด้านความเข้าใจการจัดการเรียนรู้ (µ=2.88)
2. ความต้องการในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 พบว่า โดยรวม มีความต้องการอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน ตามค่าดัชนีความต้องการ (PNIModified) เรียงระดับความต้องการพัฒนาจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก พบว่า ด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีค่าดัชนีความต้องการ (PNIModified) สูงสุด (PNIModified=0.40) รองลงมา ด้านความเข้าใจการจัด การเรียนรู้ (PNIModified=0.39) และด้านเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้ (PNIModified=0.38) ตามลำดับ
3. ผลการสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู จำนวน 5 คน เพื่อให้ได้ข้อมูล
เชิงคุณภาพ ตามสภาพข้อมูลความเป็นจริงในห้องเรียน สภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนา การจัดการเรียนรู้ของครู โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา ผู้สังเกตได้เห็นสภาพจริง ได้ข้อมูลสภาพปัจจุบัน ได้เห็นปัญหาในการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน เพื่อให้สามารถนำไปวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อหาแนวทางในการแก้ไข และพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน ซึ่งถือเป็นบทบาทหน้าที่โดยตรงของผู้บริหาร ที่จะต้องดำเนินการนิเทศ กำกับ ติดตามต่อไป ซึ่งโดยภาพรวมยังต้องการได้รับการนิเทศ กำกับ ติดตาม และดูแล เอาใจใส่ เพื่อให้เกิดการพัฒนามากขึ้น
4. ผลการสัมภาษณ์เชิงลึกคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครองนักเรียน ถึงสภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนา พบว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ต้องการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ให้สามารถอ่านออก เขียนได้ คิดเป็น ทำเป็น สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาการศึกษา ทั้งนี้ ผู้บริหารและครู คือผู้มีบทบาทสำคัญในการจะพัฒนา สู่เป้าหมายที่วางไว้ ครูสอนเต็มที่ เต็มกำลัง ผู้บริหารเอาใจใส่ กำกับ ติดตาม อย่างจริงจังเพื่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนที่ยั่งยืน
5. ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงคุณภาพ เกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการ และความจำเป็น จากโรงเรียนที่มีผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET, NT, RT) สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับชาติ อย่างน้อย 2 ปีการศึกษาติดต่อกันใน
การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียน พบว่า
ทุกโรงเรียน มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งด้านสภาพปัจจุบันของโรงเรียนและสภาพที่พึงประสงค์ กล่าวคือ ทุกคนในโรงเรียนมีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ดังนั้น ครูทำหน้าที่ครูให้ดีที่สุด ด้านการจัดการเรียนการสอน ผู้บริหารทำหน้าที่ของตน นั่นคือ นิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผลอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง มีการส่งเสริมให้ครูพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำความรู้มาพัฒนาคุณภาพผู้เรียนต่อไป
6. ผลการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน โรงเรียนห้วยมะทอโคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์เขต 2 ประกอบด้วย 7 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการ ขั้นที่ 2 จัดลำดับความสำคัญ ขั้นที่ 3 วางแผนการนิเทศ ขั้นที่ 4 ดำเนินการนิเทศ ขั้นที่ 5 สรุป/ประเมินผล ขั้นที่ 6 ร่วมสะท้อนผล/แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และขั้นที่ 7 การเสริมสร้างกำลังใจ
7. ผลที่เกิดจากการใช้รูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน โรงเรียนห้วยมะทอ โคกล่ามวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์เขต 2 ได้แก่ คุณภาพการจัด
การเรียนรู้ของครู ประกอบด้วย ด้านครู 1) ครูทุกคนมีแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 2) ครูจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ประกอบด้วย 2.1) การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (7กิจกรรมย่อย) 2.2) การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (5 โครงงาน) และครูมีความพึงพอใจ ต่อผลการนำรูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐาน มาใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูและส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน และพบว่า โดยรวม ครูมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด (µ=4.76) และด้านผู้เรียน ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น 1) RT, NT และ O-NET พัฒนาขึ้น เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปีการศึกษา 2562 และ ปีการศึกษา 2563 ดังนี้
7.1 ผลการเปรียบเทียบการประเมินความสามารถด้านการอ่านของผู้เรียน (RT)
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2562 และปีการศึกษา 2563 โดยภาพรวม มีคะแนน
เฉลี่ยรวม 2 ด้าน ลดลงคิดเป็นร้อยละ 1.71 และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการอ่านออกเสียง
มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.46 และด้านการอ่านรู้เรื่อง มีคะแนนเฉลี่ยลดลงร้อยละ 4.88 ทั้งนี้
ถึงแม้ว่าจากผลคะแนนเฉลี่ยโดยรวมจะลดลง แต่ถือได้ว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่และระดับประเทศ
ทั้ง 2 ด้าน และทั้ง 2 ปีการศึกษา ซึ่งยังคงมาตรฐานด้านการจัดการเรียนรู้ได้ดี
7.2 ผลการเปรียบเทียบผลการทดสอบประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ระดับชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2562 และปีการศึกษา 2563 โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.92 และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านภาษาไทย มีค่าเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น
ร้อยละ 6.06 และด้านคณิตศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยลดลงร้อยละ 4.22 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับเขตพื้นที่
และระดับประเทศทั้ง 2 ด้าน
7.3 ผลการเปรียบเทียบผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระดับชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2562 และปีการศึกษา 2563 โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.87 และเมื่อพิจารณารายกลุ่มสาระการเรียนรู้ พบว่า กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงสุด ร้อยละ 11.68 รองลงมาคือ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่าง
ประเทศ มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.56 และกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.94 ตามลำดับ