ชื่องานวิจัย การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารร่วมกับหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ผู้วิจัย นางสาวณิชนันทน์ พืชพร
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
สถานศึกษา โรงเรียนแชแลพิทยานุสรณ์ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
ปีที่พิมพ์ 2564
บทคัดย่อ
การพัฒนารูปแบบการสอน โดยใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารร่วมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่สำคัญคือ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานการจัดการเรียนรู้การอ่านและเขียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการสอน 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการสอน 4) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนต่อการเรียนด้วยรูปแบบการสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแชแลพิทยานุสรณ์ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 25 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการสอนเพื่อการสื่อสารร่วมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและเขียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านและเขียน โดยใช้วิธีการสอนเพื่อการสื่อสารร่วมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนต่อการเรียนด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนเพื่อการสื่อสารร่วมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและเขียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มีจำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบสมมุติฐานโดยใช้ t-test
ผลการวิจัยพบว่า
1. การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน เอกสารที่เกี่ยวข้องและการสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนสรุปได้ว่ากิจกรรมการสอนไม่เปิดโอกาสฝึกฝนการพูดและอ่าน รองลงมาเป็นนักเรียนไม่รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ และนักเรียนไม่รู้ไวยากรณ์ ทำให้เขียนไม่ได้สิ่งที่ครูควรทำการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ การส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำการฝึกอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ ทั้งในห้องเรียนหรือนอกชั้นเรียน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษและยังต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อนำมาสร้างเป็นเนื้อหาในการเรียนที่นักเรียนเข้าใจได้ง่ายเหมาะสมกับวัยของนักเรียน
2. รูปแบบการสอนโดยใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารร่วมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รูปแบบการสอนที่สร้างขึ้นมีชื่อว่า PAPSE Model มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบการสอน 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการสอน 3) กระบวนการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม (Preparation : P) ขั้นที่ 2 เรียนรู้และฝึกปฏิบัติ (Action : A) ขั้นที่ 3 นำไปใช้ (Production : P) ขั้นที่ 4 สรุป (Summary : S) และขั้นที่ 5 ประเมินผล (Evaluation : E) 4) ระบบสังคม 5) หลักการตอบสนอง และ 6) ระบบสนับสนุนมีประสิทธิภาพ (E1 /E2 ) เท่ากับ 82.20/81.40 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 ซึ่งยอมรับสมมุติฐานการวิจัย
3. เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น จำนวนทั้งสิ้น 10 แผนหลังจากเรียน นักเรียนมีคะแนนก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 24.84 คะแนนหลังเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 32.56 ซึ่งทักษะการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยค่า t = 18.10
4. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารร่วมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่าภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 ถ้าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.59
สรุปได้ว่า รูปแบบการสอนโดยใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารร่วมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงตามขึ้นไปด้วย และช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการวิจัยได้ จึงควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูนำรูปแบบการสอนนี้ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ต่อไป