ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT, O-NET ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1, 3, 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการ PLC โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT, O-NET ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1, 3, 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการ PLC

โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

คณะผู้ร่วมวิจัย นางปทิตตา ขัตติยะ, น.ส.มินตรา หงษ์มาลา,

นางสายฝน นิลวัลย์, น.ส.เกษมศรี รูจีพันธ์,

น.ส.รัตนาภา เกษตรสินธุ์, นางสงกรานต์ ภูมิโชติ,

นางชนกวรัญชน์ ลิขิตแสนสุข, นางนิตยา เหล่ามาลา,

นายยุทธนา บัวพล

หน่วยงานที่สังกัด โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1

ปีที่วิจัย 2564

ได้รับทุนวิจัยจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 โครงการการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ ปีการศึกษา 2564

บทคัดย่อ

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT, O-NET ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1, 3, 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการ PLC โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT และ O-NET โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT และ O-NET โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังเรียน ด้วยนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT และ O-NET โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จำนวน 84 คน จำแนกเป็น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 16 คน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 คน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 25 คน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 14 คน และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 19 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้เวลาในการทดลองใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT และ O-NET กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ระหว่างเดือน พฤศจิกายน - ธันวาคม 2564 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ ควบคู่นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT และ O-NET จำแนกตามนวัตกรรม จำนวน 9 เรื่อง รวม 95 แผน 2) นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT และ O-NET จำแนกตามนวัตกรรม จำนวน 9 เรื่อง จำแนกประเภทเป็นแบบฝึกทักษะ บทเรียนสำเร็จรูป และบทเรียนโมดุล 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3-4 ตัวเลือก ตามบริบท ระดับชั้นที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 20 ข้อ (ยกเว้นรายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้น ป.6 จำนวน 16 ข้อ) และ

4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน RT, NT และ O-NET โดยประเมินให้ครอบคลุมทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านสาระการเรียนรู้ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน ด้านวัดผลประเมินผล และด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 15 ข้อ มีเกณฑ์ 5 ระดับ คือ ความพึงพอใจมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด จำนวน 1 ฉบับ สำหรับประเมินเป็นฉบับเดียวกัน

สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที t (t - test แบบ Dependent Samples)

ผลการวิจัยจำแนกตามนวัตกรรมรายชื้น พบว่า

1. แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

1.1 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 84.53/83.75 ซึ่ง สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้

1.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด พบว่า ผลการทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 6.06 หลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 16.75 เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่าสถิติ t (t-dependent) พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

1.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.75, S.D.= 0.38) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน (x̄ = 4.88, S.D.= 0.32) ด้านสาระการเรียนรู้ (x̄ = 4.81, S.D.= 0.38) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน (x̄ = 4.77, S.D.= 0.34) ด้านการวัดผลและประเมินผล (x̄ = 4.69, S.D.= 0.38) และด้านสื่อการเรียนการสอน ( x̄= 4.60, S.D.= 0.49) ตามลำดับ

2. แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

2.1 แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 77.60/75.50 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้

2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ พบว่า ผลการทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 6.40 หลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 15.10 เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่าสถิติ t (t-dependent) พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

2.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด( x̄= 4.80, S.D.= 0.26) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน (x̄ = 4.97, S.D.= 0.11) ด้านสาระการเรียนรู้ (x̄ = 4.87, S.D.= 0.27) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ( x̄ = 4.80, S.D.= 0.17) ด้านการวัดผลและประเมินผล ( x̄= 4.73, S.D.= 0.27) และด้านสื่อการเรียนการสอน ( x̄ = 4.63, S.D.= 0.50) ตามลำดับ

3. แบบฝึกทักษะเรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

3.1 แบบฝึกทักษะเรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 74.20/73.60 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้

3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน พบว่า ผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 4.12 หลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 14.72 เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่าสถิติ t (t-dependent) พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

3.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.59, S.D.= 0.46) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน (x̄ = 4.69, S.D.= 0.45) ด้านวัดผลประเมินผล (x̄ = 4.67, S.D.= 0.42) ด้านสาระการเรียนรู้ ( x̄= 4.64, S.D.= 0.45) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน (x̄ = 4.49, S.D.= 0.51) และด้านสื่อการเรียนการสอน (x̄ = 4.45, S.D.= 0.50) ตามลำดับ

4. แบบฝึกทักษะแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

4.1 แบบฝึกทักษะแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 96.53/93.40 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้

4.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พบว่า ผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนก่อนเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 7.76 หลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 18.68 เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่าสถิติ t (t-dependent) พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

4.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄= 4.73, S.D.= 0.40) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านวัดผลและประเมินผล ( x̄= 4.83, S.D.= 0.28) ด้านสาระการเรียนรู้ (x̄ = 4.77, S.D.= 0.40) ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน ( x̄= 4.76, S.D.= 0.40) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน (x̄ = 4.67, S.D.= 0.48) และด้านสื่อการเรียนการสอน (x̄ = 4.63, S.D.= 0.45) ตามลำดับ

5. แบบฝึกพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยโฟนิคส์ (Phonics) ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

5.1 แบบฝึกพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยโฟนิคส์ (Phonics) ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 75.37/

80.80 ซึ่งประสิทธิภาพระหว่างเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ 80 ประสิทธิภาพหลังเรียนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้

5.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยโฟนิคส์ (Phonics) พบว่า ผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 8.93 หลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 12.93 เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่าสถิติ t (t-dependent) พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

5.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยโฟนิคส์ (Phonics) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.65, S.D.= 0.44) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ( x̄= 4.79, S.D.= 0.35) ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน (x̄ = 4.69, S.D.= 0.40) ด้านสาระการเรียน (x̄ = 4.67, S.D.= 0.46) ด้านสื่อการเรียนการสอน ( x̄= 4.64, S.D.= 0.50) และด้านวัดผลและประเมินผล (x̄ = 4.45, S.D.= 0.48) ตามลำดับ

6. บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง คำและชนิดของคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

6.1 บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง คำและชนิดของคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 71.83/71.43 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้

6.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง คำและชนิดของคำ พบว่า ผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 3.43 หลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 14.29 เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่าสถิติ t (t-dependent) พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

6.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง คำและชนิดของคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.56, S.D.= 0.44) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน (x̄ = 4.69, S.D.= 0.40) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ( x̄= 4.62, S.D.= 0.40) ด้านสาระการเรียนรู้ ( x̄= 4.52, S.D.= 0.50) ด้านวัดผลประเมินผล ( x̄= 4.50, S.D.= 0.38) และด้านสื่อการเรียนการสอน ( x̄= 4.45, S.D.= 0.52) ตามลำดับ

7. บทเรียนโมดูล ไทยโอเน็ต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

7.1 บทเรียนโมดูล ไทยโอเน็ต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 67.05/67.11 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ผู้วิจัยได้ ตั้งไว้

7.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้บทเรียนโมดูลไทยโอเน็ต พบว่า ผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 5.79 หลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 13.42 เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่าสถิติ t (t-dependent) พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

7.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้บทเรียนโมดูล ไทย โอเน็ต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄= 4.57, S.D.= 0.44) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสื่อการเรียน การสอน (x̄ = 4.81, S.D.= 0.40) ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน ( x̄= 4.67, S.D.= 0.40) ด้านสาระการเรียนรู้ ( x̄= 4.49, S.D.= 0.48) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน (x̄ = 4.47, S.D.= 0.49) และด้านวัดผลประเมินผล (x̄ = 4.40, S.D.= 0.44) ตามลำดับ

8. แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์เรื่องการแก้ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

8.1 แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์เรื่องการแก้ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 71.18/81.58 ซึ่งประสิทธิภาพระหว่างเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ 80 ประสิทธิภาพหลังเรียนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้

8.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์เรื่องการแก้ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร พบว่า ผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 6.21 หลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 16.32 เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่าสถิติ t (t-dependent) พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

8.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง การแก้ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄= 4.60, S.D.= 0.44) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสื่อการเรียนการสอน (x̄ = 4.84, S.D.= 0.36) ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน (x̄ = 4.68, S.D.= 0.41) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ( x̄= 4.53, S.D.=0.49) ด้านสาระการเรียนรู้ ( x̄= 4.51, S.D.= 0.47) และด้านวัดผลประเมินผล (x̄ = 4.44, S.D.= 0.46) ตามลำดับ

9. บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง เทคโนโลยีกับชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

9.1 บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง เทคโนโลยีกับชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านจาน อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 88.07/92.37 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้

9.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง เทคโนโลยีกับชีวิต พบว่า ผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 6.05 หลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 18.47 เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่าสถิติ t (t-dependent) พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

9.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป

เรื่อง เทคโนโลยีกับชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.61, S.D.= 0.42) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียน ( x̄= 4.77, S.D.= 0.24) ด้านสื่อการเรียนการสอน ( x̄= 4.65, S.D.= 0.49) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน (x̄= 4.61, S.D.= 0.47) ด้านสาระการเรียนรู้ (x̄ = 4.54, S.D.= 0.48) และด้านวัดผลและประเมินผล (x̄ = 4.49, S.D.= 0.44) ตามลำดับ

ข้อเสนอแนะเพื่อการทำวิจัยครั้งต่อไป

1.ในการทำวิจัยครั้งต่อไป การตั้งวัตถุประสงค์ของการวิจัยจะต้องคำนึงถึงความยากง่าย และธรรมชาติของแต่ละวิชา ซึ่งมีความแตกต่างกัน และจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของนวัตกรรมที่เราใช้ในการวิจัย

2.ควรมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้วยแบบฝึกทักษะ บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนโมดูล ในกลุ่มสาระอื่นๆ

3.ควรมีการวิจัยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างการใช้แบบฝึกทักษะกับบทเรียนสำเร็จรูป การใช้แบบฝึกทักษะกับบทเรียนโมดูล หรือการเปรียบเทียบกับการเรียนแบบปกติ

โพสต์โดย ปทิตตา : [26 มิ.ย. 2565 เวลา 15:15 น.]
อ่าน [3026] ไอพี : 223.205.217.140
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 12,510 ครั้ง
8 วิธีคลายเครียดทันใจ
8 วิธีคลายเครียดทันใจ

เปิดอ่าน 18,701 ครั้ง
Supernova : ซูเปอร์โนวา, มหานวดารา
Supernova : ซูเปอร์โนวา, มหานวดารา

เปิดอ่าน 22,937 ครั้ง
ฟุตซอล(Futsal): วิธีการคาดโทษและไล่ออก
ฟุตซอล(Futsal): วิธีการคาดโทษและไล่ออก

เปิดอ่าน 14,933 ครั้ง
เส้นทางรัก ... เพชรา มาถึงวันนี้ที่มีแต่ ชรินทร์
เส้นทางรัก ... เพชรา มาถึงวันนี้ที่มีแต่ ชรินทร์

เปิดอ่าน 43,920 ครั้ง
5 ผักธรรมดาที่ไม่ธรรมดา กินมากไประวังอาการเหล่านี้!!
5 ผักธรรมดาที่ไม่ธรรมดา กินมากไประวังอาการเหล่านี้!!

เปิดอ่าน 10,952 ครั้ง
"พระโค"เสี่ยงทายกินหญ้าน้ำท่า-อาหารบริบูรณ์
"พระโค"เสี่ยงทายกินหญ้าน้ำท่า-อาหารบริบูรณ์

เปิดอ่าน 3,965 ครั้ง
ที่มาของทฤษฏีพีทาโกรัส
ที่มาของทฤษฏีพีทาโกรัส

เปิดอ่าน 31,812 ครั้ง
"ฮาร์เล็ม เชค (Harlem Shake)" ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดแล้ว มาชมคลิปกันครับ
"ฮาร์เล็ม เชค (Harlem Shake)" ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดแล้ว มาชมคลิปกันครับ

เปิดอ่าน 24,911 ครั้ง
นานาไอเดีย แปลงยางรถยนต์เก่า มาใช้อย่างเก๋ไก๋ ทำไว้ใช้เองที่บ้าน/ที่โรงเรียน หรือทำขายเป็นอาชีพเสริมก็ได้
นานาไอเดีย แปลงยางรถยนต์เก่า มาใช้อย่างเก๋ไก๋ ทำไว้ใช้เองที่บ้าน/ที่โรงเรียน หรือทำขายเป็นอาชีพเสริมก็ได้

เปิดอ่าน 41,450 ครั้ง
คุณภาพของสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
คุณภาพของสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

เปิดอ่าน 11,917 ครั้ง
กาแฟลดอ้วน ผอมชัวร์หรือมั่วนิ่ม
กาแฟลดอ้วน ผอมชัวร์หรือมั่วนิ่ม

เปิดอ่าน 14,465 ครั้ง
5 คำถามเพื่อสาขาเรียนที่ใช่ สู่อาชีพที่ชอบ
5 คำถามเพื่อสาขาเรียนที่ใช่ สู่อาชีพที่ชอบ

เปิดอ่าน 10,477 ครั้ง
Student Perceptions of Selected Technology Student Association Activit
Student Perceptions of Selected Technology Student Association Activit

เปิดอ่าน 871 ครั้ง
การตลาดออนไลน์ 2024 มีอะไรบ้างที่ต้องอัปเดต
การตลาดออนไลน์ 2024 มีอะไรบ้างที่ต้องอัปเดต

เปิดอ่าน 11,504 ครั้ง
5 สไตล์การกินเพื่อสุขภาพดี
5 สไตล์การกินเพื่อสุขภาพดี

เปิดอ่าน 8,080 ครั้ง
เมื่อกล้าปราบคอร์รัปชั่น ก็ลองกล้าเปลี่ยนประเทศ ด้วยการปฏิรูปการศึกษา
เมื่อกล้าปราบคอร์รัปชั่น ก็ลองกล้าเปลี่ยนประเทศ ด้วยการปฏิรูปการศึกษา
เปิดอ่าน 124,807 ครั้ง
สุดยอด! หนังสั้น"เดือนเพ็ญ"ผลงานนักเรียนยอดวิวกว่า2แสนวิวแล้ว
สุดยอด! หนังสั้น"เดือนเพ็ญ"ผลงานนักเรียนยอดวิวกว่า2แสนวิวแล้ว
เปิดอ่าน 61,884 ครั้ง
องค์ประกอบของมัลติมีเดีย มีอะไรบ้าง?
องค์ประกอบของมัลติมีเดีย มีอะไรบ้าง?
เปิดอ่าน 11,554 ครั้ง
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
เปิดอ่าน 7,897 ครั้ง
ทดสอบความทนทาน"ไอโฟน 5" พัง-ไม่พัง แตก-ไม่แตก
ทดสอบความทนทาน"ไอโฟน 5" พัง-ไม่พัง แตก-ไม่แตก

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ