บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คนไทยจะต้องทำความเข้าใจและศึกษาหลักเกณฑ์ทางภาษา หมั่นฝึกฝนให้มีทักษะการฟัง พูด อ่านและเขียนภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารการเรียนรู้สิ่งต่างๆ และการสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ชุมชน สังคมและประเทศชาติ ดังนั้นภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป (กรมวิชาการ. 2552 : 1)
กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้วิชาภาษาไทยเป็นวิชาบังคับอยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยกำหนดกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นกลุ่มที่มุ่งส่งเสริมทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง
การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่างๆ การอ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่างๆ ของการเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่างๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์
การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่างๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่างๆ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ
หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่างๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของนักเรียน เพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจ ในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน (กรมวิชาการ. 2552 : 2-3)
จากเหตุผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าครูต้องสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพตามจุดประสงค์ของหลักสูตรนั้น คือ ผู้สอนต้องสอนให้นักเรียนสามารถใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพจึงมีความจำเป็นต้องฝึกฝนทักษะพื้นฐานให้สัมพันธ์กันทั้ง 5 ด้าน คือ การอ่าน, การเขียน, การฟัง การดู และการพูด, หลักภาษา, วรรณคดีและวรรณกรรม ทักษะการเขียนมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนภาษาไทยมากเพราะทักษะการเขียนเป็นการถ่ายทอดความคิด เป็นการพัฒนาทางความคิด สติปัญญาและทัศนคติ การเขียนที่ดีสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ มีความสำคัญต่อการศึกษาหาความรู้ของนักเรียนซึ่งการเรียนรู้ของนักเรียนสามารถสร้างเสริมประสบการณ์ได้ตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ในระบบการศึกษาในโรงเรียนโดยครูผู้สอนต้อนสอนให้นักเรียนสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้ถูกต้องทำให้นักเรียนมีทักษะทั้ง 4 ด้านคือการฟังพูด อ่าน และเขียนสัมพันธ์กัน (อัจฉรา ชีวพันธ์. 2538 : 1) ดังนั้นการอ่านจึงเป็นรากฐานในการเรียนวิชาต่างๆ จะต้องอ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ถ้าหากอ่านผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือบกพร่องก็จะทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป และจากการประเมินปัญหาด้าน การเรียนการสอนภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในด้านการอ่านอยู่ในระดับต่ำที่ต้องได้รับการพัฒนา โดยสังเกตจากคะแนนการทดสอบระดับชาติ (O-NET) ปีการศึกษา 2561 ในสาระการอ่านอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศ และคะแนนจากผลการทดสอบกลางภาคเรียนและปลายภาคเรียน พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ มีคะแนนอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์
ดังนั้นวิธีการสอนของครูจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ครูควรพยายามหาวิธีสอนและหากิจกรรมในการพัฒนาทักษะในด้านการอ่านที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดทั้งความรู้และ ความสนุกสนานในการเรียนรู้ อีกทั้งเป็นการจูงใจให้นักเรียนเกิดทัศนคติที่ดีต่อวิชาภาษาไทย และรักที่จะเรียนวิชาภาษาไทยสืบไป การฝึกทักษะทางภาษานั้นจะอาศัยเฉพาะแบบเรียนและแบบฝึกในบทเรียนเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ การสร้างแบบฝึกเพื่อฝึกทักษะหลังจากที่เรียนเนื้อหาในบทเรียนไปแล้วเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะแบบฝึกมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอน และยังเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมให้ทักษะทางภาษาคงทนอีกด้วยการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจึงเป็นการจัดกิจกรรมที่สนองความแตกต่างระหว่างบุคคล นักเรียนต้องลงมือทำกิจกรรมด้วยตนเองตามความสามารถ ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะทำให้นักเรียนมีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลาและมีความเชื่อมั่นในตนเอง นอกจากนี้ยังปลูกฝังให้นักเรียนรู้จักการทำงานอย่างมีระบบระเบียบและทำงานเป็นขั้นเป็นตอน การเรียนการสอนเกี่ยวกับการอ่านนั้นต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างถูกวิธีฝึกบ่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ จึงจะทำให้เกิดความแม่นยำความชำนาญ และความคล่องแคล่วสามารถนำความรู้และทักษะจากการเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้การใช้แบบฝึกยังเป็นการทบทวนความเข้าใจให้แก่นักเรียน และเป็นอุปกรณ์ที่ครูจะใช้พัฒนาการเขียนหรือแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องการอ่านของนักเรียนได้อย่างหนึ่ง
จากสภาพปัญหาที่พบดังกล่าว ผู้ศึกษาจึงเห็นว่าการอ่านจับใจความสำคัญ การอ่านแปลความ, ตีความ และขยายความ การอ่านวิเคราะห์และวิจารณ์ การอ่านเพื่อการคาดคะเน การอ่านเพื่อการแสดงทรรศนะ และการอ่านแสดงความคิดเห็นโต้แย้ง เป็นการอ่านที่พบมากในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการอ่านที่กล่าวมาจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไข โดยการศึกษาในครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแบบฝึกการอ่านในชีวิตประจำวันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสรรพยาวิทยา ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 และเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่าน โดยมีแนวทางในการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านในชีวิตประจำวัน จากหลักสูตรแกนกลางฯ พ.ศ.2551 และแบบทดสอบระดับชาติ (O-NET) เพื่อให้นักเรียนเกิดการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาไทยเพิ่มมากขึ้นและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยและการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพต่อไป
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สูงกว่าก่อนเรียน
2. เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสรรพยาวิทยา ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75
3. เพื่อให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ แบบฝึกทักษะการอ่าน มีเจตคติต่อวิชาภาษาไทยอยู่ในระดับมาก
สมมติฐานของการศึกษา
1. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสูงกว่าก่อนเรียน
2. แบบฝึกทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านในชีวิตประจำวันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสรรพยาวิทยา มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีเจตคติต่อวิชาภาษาไทยอยู่ในระดับมาก
ขอบเขตของการศึกษา
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2562 ของโรงเรียนสรรพยาวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 5 จำนวน 44 คน
2. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา
ดำเนินการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โดยใช้ระยะเวลาในการทดลอง วันละ 1 คาบเรียน รวม 6 คาบเรียน ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ถึง มิถุนายน พ.ศ.2562
3. เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา
๑. การอ่านตีความ แปลความ และขยายความ
๒. การอ่านเพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องอย่างมีเหตุผล
๓. การคาดคะเนและประเมินค่าจากเรื่องที่อ่าน
๔. การอ่านเพื่อวิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นโต้แย้งและเสนอความคิดใหม่
อย่างมีเหตุผล
4. ตัวแปรที่ศึกษา
4.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่าน เรื่องการอ่านในชีวิตประจำวัน
4.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
- ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการอ่านในชีวิตประจำวัน
- ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่าน
- ความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านในชีวิตประจำวัน
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. การอ่านในชีวิตประจำวัน หมายถึง การอ่านจับใจความสำคัญ การอ่านแปลความ ตีความ ขยายความ การอ่านเพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ การอ่านเพื่อการคาดคะเน การอ่านเพื่อแสดงทรรศนะ และการอ่านเพื่อการโต้แย้ง ซึ่งเป็นการอ่านที่พบในการดำเนินชีวิตประจำวัน
2. แบบฝึกทักษะ หมายถึง เครื่องมือที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น โดยเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ใช้สำหรับให้นักเรียนฝึกและปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะเพิ่มขึ้น
3. แบบฝึกทักษะการอ่าน หมายถึง แบบฝึกเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านโดยเฉพาะ ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ข้อสอบที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นเพื่อใช้วัดความสามารถด้านการอ่านหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการอ่าน หมายถึง ผลที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการอ่านในชีวิตประจำวันที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น
6. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่าน หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่าน เรื่องการีอ่านในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นซึ่งมีระดับประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75
7. เกณฑ์มาตรฐาน 75/75 หมายถึง ระดับคะแนนที่กำหนดขึ้นเพื่อเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์เรื่องการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยกำหนดให้ระดับคะแนนเป็นดังนี้
75 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละ 75 ของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ได้จากคะแนนการทำแบบฝึกทักษะในแต่ละชุดซึ่งเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1)
75 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละ 75 ของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ได้จากคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนซึ่งเป็นประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2)