เรื่อง การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เพื่อพัฒนา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการ
แผ่นดิน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนเทศบาล ๓ (วัดศาลาหัวยาง) อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
ผู้วิจัย ว่าที่เรือเอกเฉลิมพล บุญฉายา
สาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ปีการศึกษา 2564
วัตถุประสงค์การวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดิน ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนเทศบาล ๓ (วัดศาลาหัวยาง) อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
ขอบเขตของการวิจัย
๑. ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนเทศบาล ๓ (วัดศาลาหัวยาง) อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา จำนวน 77 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนเทศบาล ๓ (วัดศาลาหัวยาง) อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา จำนวน 28 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลาก
๒. ตัวแปรที่วิจัย
2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
เรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผนดินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖
2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดิน
๓. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ กฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน 5 แผน
3.2 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนจำนวน 30 ข้อ
๔. ระยะเวลาในการวิจัย
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2 มีนาคม 2565 จำนวน 8 ชั่วโมง
วิธีการดำเนินการ
1. ศึกษาและรวบรวมปัญหาต่าง ๆ จากบันทึกผลการสอนของนักเรียนในปีการศึกษา 2564และการทำ PLC พบว่า ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ และการสืบค้นข้อมูล การศึกษาด้วยตนเอง
2. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่องกฎหมายใน
ชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน 5 แผน ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่องกฎหมาย ในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน 8 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ เรื่อง จำนวน(ชั่วโมง)
1 กฎหมายทะเบียนราษฎร 1
2 กฎหมายจราจรและกฎหมายสารเสพติดให้โทษ 1
3 กฎหมายท้องถิ่น 1
4 การบริการราชการแผ่นดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1
5 บทบาทหน้าที่ของรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2
ในแต่ละแผนได้จัดการเรียนรู้ที่เน้นวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ คือ
การสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นนี้เป็นของการนำเข้าสู่บทเรียนหรือนำเข้าสู่เรื่องที่อยู่ในความสนใจที่เกิดจากข้อสงสัย โดยครูผู้สอนจะต้องกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจใคร่รู้ หลังจากนั้น เมื่อได้ข้อคำถามที่น่าสนใจแล้ว ครูผู้สอนต้องกระตุ้นให้นักเรียนร่วมกัน กำหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยใช้การรับรู้จากประสบการณ์เดิม รวมกับการศึกษาเพิ่มเติมจากจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในประเด็นที่จะศึกษา และมีแนวทางในการสำรวจตรวจสอบมากยิ่งขึ้น
การสํารวจและค้นหา (Exploration) ครูผู้สอนจะเปิดโอกาสให้นักเรียนดำเนินการศึกษาค้นคว้า โดยการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสำรวจ การสืบค้นจากเอกสารต่าง ๆ การทดลอง และการจำลองสถานการณ์ เป็นต้น เพื่อตรวจสอบสมมุติฐานและให้ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะนำไปใช้ในการอธิบายและสรุป
การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ครูผู้สอนจะต้องให้นักเรียนนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และแปลผล เพื่อสรุปผลและนําเสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ เช่น การบรรยายสรุป การสร้างแบบจําลอง การวาดภาพ หรือ การสรุปเป็นตารางหรือกราฟ ซึ่งผลสรุปที่ได้นั้น จะต้องสามารถอ้างอิงความรู้ มีความสมเหตุสมผล และมีหลักฐานที่เชื่อถือได้
การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นขั้นของการนําความรู้ที่ได้จากขั้นก่อนหน้านี้ มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือใช้อธิบายถึงสถานการณ์หรือเหตุการณ์เกี่ยวข้อง โดยครูผู้สอนจัดกิจกรรมและให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ เช่น ตั้งคำถามจากการศึกษาเพื่อให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้เข้ากับประสบการณ์หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น
การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นของการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ เช่น การทำข้อสอบ การทำรายงานสรุป หรือการให้นักเรียนประเมินตัวเอง
3. การสร้างแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน มีขั้นตอนการสร้างดังนี้
1) ศึกษาเกณฑ์การสร้างแบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียน
2) สร้างแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ซึ่งมีลักษณะเป็นข้อสอบแบบปรนัย เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ กำหนดการให้ค่าคะแนน ตอบถูกได้ 1 คะแนน และตอบผิดได้ 0 คะแนน
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยตนเองมีขั้นตอนดังนี้
1) ทดสอบก่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบเรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการ
บริหารราชการแผ่นดินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 ข้อ บันทึกคะแนนก่อนเรียนจำนวน 1 ชั่วโมง
2) ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการเรียนรู้ที่เน้นวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน 6 ชั่วโมง
3) ทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบเรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดิน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชุดเดิม จำนวน 30 ข้อ จำนวน 1 ชั่วโมง
4) การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการจัดการเรียนรู้ของผู้วิจัย โดยนำคะแนนที่ได้จากทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ไปทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติและสรุปผลการวิจัยต่อไป
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดิน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน
ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดิน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการทดสอบค่าที (t-test)
การทดสอบ N คะแนนเต็ม
D D2 t
ทดสอบก่อนเรียน 28 30 10.11 360 4774 35.73*
ทดสอบหลังเรียน 28 30 22.96
ค่า t * = 1.703 มี df = 27
จากตารางที่ 2 พบว่านักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 10.11 และมีคะแนนทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 22.96 และเมื่อนำคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบความแตกต่างด้วยการทดสอบที (t-test) ชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระแก่กัน พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดิน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
สรุปและอภิปรายผล
ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนด้วยด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่องกฎหมายในชีวิตประจำวันและการบริหารราชการแผ่นดิน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดยการแสวงหาและศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ของตนเอง โดยใช้กระบวนการทาง ๕ ขั้นตอน ซึ่งมีครูผู้สอนคอยอำนวยการและสนับสนุน ทำให้นักเรียนสามารถค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้ตัวเอง และสามารถนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน เชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ผู้นักเรียนสนใจศึกษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติ ด้วยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระ