|
|
ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ผู้วิจัย วิญญ์ธชัย ศักดิ์กัณฑ์หา
ปีที่รายงาน 2564
บทคัดย่อ
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ 4) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยทำการศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาความต้องการและข้อมูลพื้นฐาน ผลการศึกษาแบ่งตามเครื่องมือในการศึกษา ดังนี้ 1) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของหน่วยการเรียนรู้ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว มีคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุด โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 200 คน ซึ่งเคยเรียนเรื่องดังกล่าวมาแล้วในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า สาเหตุแรกคือ การขาดสื่อสำหรับการทบทวนและศึกษาล่วงหน้า ( = 4.50, S.D. = 0.50) อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือนักเรียนไม่มีเวลามากพอในการทำแบบฝึกหัด ( = 4.39, S.D. = 0.69) อยู่ในระดับมาก และวิธีการสอนของครู ( = 4.32, S.D. = 0.67) อยู่ในระดับมาก ตามลำดับ 2) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังจะเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 คน พบว่า นักเรียนมีความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับห้องเรียนกลับด้าน โดยค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.15, S.D. = 0.62) 3) แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐานของครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า โรงเรียนมีความพร้อมที่จะให้มีการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบดังกล่าว โดยมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.55, S.D. = 0.59) ผลการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้น ได้แก่ ขั้นสร้างความสนใจและนำเสนอปัญหา ขั้นศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ขั้นอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขั้นเผชิญและแก้ปัญหา ขั้นนำเสนอและประเมินผล ผู้วิจัยได้นำการรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ที่ผ่านขั้นทดลองแบบรายบุคคล ขั้นทดลองแบบกลุ่มย่อย และขั้นทดลองภาคสนามซึ่งมีค่า E1/E2 = 81.12/80.17 ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.6 โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย สังกัดสำนักการศึกษาเทศบาลนครเชียงราย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 37 คน ใช้การสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม พบว่า มีค่า E1/E2 = 82.05/81.17 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ผลการประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ อยู่ในระดับดี โดยมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 76.72 คะแนน ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า คะแนนก่อนเรียน ( = 10.97, S.D. = 3.19) คะแนนหลังเรียน ( = 24.35, S.D. = 2.73) โดยคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้หาค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) พบว่าค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.70 หมายถึง ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น 0.70 หรือผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า ค่าเฉลี่ยรวม อยู่ในระดับมาก ( = 3.80, S.D. = 0.80) จากการพิจารณาผลของการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยปรับปรุงวีดิทัศน์ให้ภาพมีความน่าสนใจมากขึ้น เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอจากการเขียนอธิบาย เป็นตัวหนังสือชนิดพิมพ์ประกอบคำอธิบาย และจัดทำห้องเรียนออนไลน์โดยใช้ Google classroom อย่างเต็มรูปแบบร่วมกับการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว เพื่อให้ผู้เรียนที่ไม่สามารถมาโรงเรียนได้ สามารถเรียนออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิผล
|
โพสต์โดย ภูวินท์ : [21 ก.พ. 2565 เวลา 09:12 น.] อ่าน [3553] ไอพี : 183.89.122.229
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก
|
|
|
|
|
|
|
โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2. ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป
3. สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น
7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป
** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**
|
|
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡ เปิดอ่าน 25,271 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 10,239 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 22,300 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 56,637 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 22,052 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 68,082 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 19,350 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 15,901 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 11,713 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 4,324 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 7,649 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 13,170 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 31,899 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 10,504 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 14,305 ครั้ง 
| |
|
เปิดอ่าน 120,291 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 25,938 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 6,005 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 10,297 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 32,778 ครั้ง 
|
|

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด
|