การใช้ผลการพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านบูดน มีวัตถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อเปรียบเทียบผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย
แบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านบูดนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย
1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 5 เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ
2. แบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3. แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 17 แผน
4. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ผลการศึกษาพบว่า
1. แบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
มีประสิทธิภาพ ( E1/E2 ) เท่ากับ 82.03/82.22
2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสู่งกว่าก่อนเรียนด้วย
แบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน 13.05 คิดเป็นร้อยละ 43.48 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 24.91 คิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 83.03 และความก้าวหน้าของผลสัมฤทธิ์โดยเฉลี่ยเท่ากับ 11.86 คิดเป็นร้อยละ 35.55
3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.73, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.44
การอภิปรายผล
1. แบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เท่ากับ 80.85 และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 80.83 จะได้ประสิทธิภาพ ( E1/E2 ) เท่ากับ 82.03/82.22 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด ทั้งนี้อาจเนื่องจากผู้รายงานได้มีการพัฒนาแบบฝึกทักษะอย่างเป็นลำดับขั้นตอน โดยมีการศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาแกนกลาง หลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างละเอียด และมีการวิเคราะห์ปัญหาในการจัดการเรียนการสอนอย่างละเอียด มีการจัดตั้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้ไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งผู้รายงานได้นำแบบฝึกที่สร้างขึ้นนั้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ พิจารณาและแนะนำในการแก้ไข ปรับปรุงข้อบกพร่องของแบบฝึก เพื่อให้แบบฝึกมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ย่อมส่งผลให้แบบฝึกที่ผู้รายงานสร้างขึ้นนั้น มีประสิทธิภาพและส่งผลต่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนอีกด้วย ในการสร้างแบบฝึกทักษะครั้งนี้ผู้รายงานได้คำนึงถึงความน่าสนใจของแบบฝึก โดยมีการใช้ภาพเพื่อเป็นสื่อให้ความหมายได้อย่างสอดคล้องที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับ พิรม พูลสวัสดิ์ (2559) ได้พัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการพัฒนาดังกล่าวทำให้ได้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.77/83.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80
2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสู่งกว่าก่อนเรียนด้วยด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน 13.05 คิดเป็นร้อยละ 43.48 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 24.91 คิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 83.03 และความก้าวหน้าของผลสัมฤทธิ์โดยเฉลี่ยเท่ากับ 11.86 คิดเป็นร้อยละ 35.55 แสดงว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้อาจเนื่องจากเพราะแบบฝึกที่ผู้รายงานสร้างขึ้นได้คำนึงถึงเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยของนักเรียน เน้นความเข้าใจเกี่ยวกับร้อยละ และยังใช้ภาพประกอบที่มีสีสันสวยงาม และชัดเจน รวมทั้งมีตัวอย่างในการทำแบบฝึกทุกครั้ง ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ที่คงทน ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนได้เป็นอย่างดี มีกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อไม่ให้นักเรียนเกิดความรู้สึกว่าจำเจ และเบื่อหน่าย ซ้ำซ้อนในการจัดกิจกรรมทุกกิจกรรม ผู้รายงานยังให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลให้นักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น และสรุปได้ว่าแบบฝึกที่ผู้รายงานสร้างขึ้นนั้นมีประโยชน์และเป็นปัจจัยสำคัญต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับวิไลรักษ์ กระลาม (2561) ได้พัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการพัฒนาพบว่า ในการประสิทธิภาพ เท่ากับ (80.12/80.64) ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบวาคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยคะแนนเฉลี่ยหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน
3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ร้อยละ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแบบฝึกทักษะ ที่สร้างขึ้นเน้นให้ผู้เรียนได้มีการฝึกกระทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ส่งเสริมการคิด เรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก ทำให้นักเรียนฝึกจนเกิดความชำนาญก่อเกิดความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ซึ่งกล่าวได้ว่า แบบฝึกที่สร้างหลาย ๆ แบบ เพื่อฝึกฝนทักษะอันเดียวกัน จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและมีความคงทนในการเรียนรู้ (มณฑนกร เจริญรักษา, 2552) และแบบฝึกที่เป็นอุปกรณ์ช่วยลดภาระของครู ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในการใช้ภาษาให้ดีขึ้น ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียน หลังจากเรียนบทเรียน ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ชัดเจน ช่วยให้ผู้เรียนเห็นความก้าวหน้าของตนเอง