|
|
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะกลุ่มและเจตคติต่อวิชาภาษาไทย
เรื่องการเขียนสารคดี โดยรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL)
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทรา
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง การเขียนสารคดี (2) เพื่อให้ผู้เรียนทีทักษะและกระบวนการการทำงานเป็นกลุ่ม (3) เพื่อให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3-5/4 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทรา อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 80 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่องการเขียนสารคดี ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทราจำนวน 10 แผน (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช้ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ (3) แบบประเมินทักษะและกระบวนการการทำงานเป็นกลุ่ม ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ (4) แบบวัดความพึงของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทรา ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่องการเขียนสารคดี จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบที (ttest)
ผลการวิจัยพบว่า
1) ผลการทดสอบก่อนดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเขียนสารคดี พบว่านักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 21.40 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.43 และนักเรียนกลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 14.26 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.70 ค่าสถิติแสดงการเปรียบเทียบของทั้งสองกลุ่มมีค่าเท่ากับ 9.84 มีนัยสำคัญทางสถิติทางสถิติที่ระดับ 0.000 แสดงว่านักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีระดับความรู้ความสามารถพื้นฐานทางวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสารคดี อยู่ในระดับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่หลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) พบว่านักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 30.00 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.16 ซึ่งสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมที่มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 19.63 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.25 ค่าสถิติแสดงการเปรียบเทียบของทั้งสองกลุ่มมีค่าเท่ากับ 8.25 มีนัยสำคัญทางสถิติทางสถิติที่ระดับ 0.000 เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) เป็นกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องตามแนวคิดทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Theory) โดยบทบาทของครูผู้สอนในห้องเรียนตามแนวคิดเพียเจต์ คือ การจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่ให้ผู้เรียนได้สำรวจ ค้นหาตามธรรมชาติห้องเรียนควรเติมสิ่งที่น่าสนใจที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเองอย่างตื่นตัวโดยการขยายสกีมาผ่านทางประสบการณ์ด้วยวิธีการดูดซึม (Assimilation) และการปรับเปลี่ยน (Accommodation) ซึ่งเชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการปรับเข้าสู่สภาวะสมดุล (Equilibrium) ระหว่างอินทรีย์และสิ่งแวดล้อม โดยมีกระบวนการ คือการดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างทางปัญญา (Assimilation) เป็นการตีความ หรือรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมมาปรับเข้ากับโครงสร้างทางปัญญา และการปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accommodation) เป็นความสามารถในการปรับโครงสร้างทางปัญญาให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยการเชื่อมโยงระหว่างความรู้เดิมและสิ่งที่ต้องเรียนใหม่ ผู้เรียนจะพัฒนาในกลุ่มของสังคมที่จัดขึ้น การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมควรจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกันมากกว่าที่จะแยกผู้เรียนจากคนอื่นๆ ครูตามแนวคิดกลุ่มคอนสตรัคติวิสต์ ควรจะสร้างบริบทสำหรับการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถได้รับการส่งเสริมในกิจกรรมที่น่าสนใจซึ่งกระตุ้นและเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้แทนที่ครูผู้สอนที่เข้ามาสู่กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับผู้เรียน ไม่ใช่เข้ามายืนมองเด็กสำรวจและค้นพบเท่านั้น แต่ครูควรแนะนำเมื่อผู้เรียนประสบปัญหา กระตุ้นให้ผู้เรียนปฏิบัติงานในกลุ่มในการที่จะคิดพิจารณาประเด็นคำถาม และสนับสนุนด้วยการกระตุ้น แนะนำ ให้พวกเขาต่อสู้กับปัญหา และเกิดความท้าทาย และนั่นเป็นรากฐานของสถานการณ์ในชีวิตจริง (Real life situation) ที่จะทำให้ผู้เรียน เกิดความสนใจ และได้รับความพึงพอใจในผลของงานที่พวกเขาได้ลงมือกระทำ ดังนั้น ครูจะคอยช่วยเอื้อให้ผู้เรียนเกิดความเจริญทางด้านสติปัญญา (Cognitive growth) และการเรียนรู้ในทุกชั้นเรียนซึ่งกลยุทธ์ทางเรียนรู้ที่สอดคล้องกับแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคของวีกอทสกี (Vygotsky) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ชัญญานุช ศรีชุม (2548) ที่ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา โมเดล เรื่อง การเขียนเชิงสร้างสรรค์วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 81.30/84.06 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์และนักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.97 และสอดคล้องกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) ของทิศนา แขมมณี (2542) ที่กล่าวไว้ว่า กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Construct) ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ทางสังคมกับบุคคล และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม ให้ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย (Physical Participation) โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่างๆ ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางกาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ (Process Learning) ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม กระบวนการพัฒนาตนเอง เป็นต้น และการนำความรู้ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ (Application) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียนและช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนเองไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายได้
2) ผลการประเมินทักษะกระบวนกลุ่มของนักเรียนกลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเขียนสารคดี พบว่ากลุ่มทดลองมีทักษะกระบวนการกลุ่มมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 14.54 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.24 อยู่ในระดับดีเยี่ยม ซึ่งคะแนนประเมินทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียนกลุ่มทดลองนั้นขึ้นอยู่กับคะแนนทดสอบของกลุ่มและคะแนนทดสอบเป็นรายบุคคลของสมาชิกภายในกลุ่มแต่ละคน โดยสมาชิกทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าคะแนนของแต่ละกลุ่มจะดีได้ต้องอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกันของสมาชิกทุกคนภายในกลุ่ม ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีสนาม (Field Theory) ของ Kurt Lewin (1947 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2551) ได้กล่าวว่าสมาชิกภายในกลุ่มจะมีการปรับตัวเข้าหากันและพยายามช่วยกันทำงานก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและทำให้เกิดพลังที่จะทำให้การทำงานกลุ่มเป็นไปด้วยดี และหลักการของสุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2552) กล่าวว่า หลักการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับความรู้จากการลงมือร่วมกันปฏิบัติ เป็นกลุ่ม กลุ่มจะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละคนและสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม ก็มีอิทธิพลและปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน ให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มมากที่สุด จนสามารถค้นพบและสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง
3) ผลการเปรียบเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนสารคดี ของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่านักเรียนกลุ่มทดลองมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.83 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.28 สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่มีเจตคติต่อ การเรียนเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.37 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.08 เนื่องจากขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) นักเรียนจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการฝึกทักษะตามเรื่องที่ได้เรียน สมาชิกในกลุ่มทุกคนจะช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่เพื่อให้งานกลุ่มประสบผลสำเร็จและได้รับรางวัลจากครูเป็นรางวัลการพัฒนาการ ซึ่งก็คือกลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดและมีคะแนนมากกว่าครั้งที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการร่วมมือกันทำงานให้สำเร็จไม่ว่าสมาชิกไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง เรียนปานกลาง หรือเรียนอ่อน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการวางเงื่อนไขของสกินเนอร์ (1938) ที่กล่าวว่าการจัดการเรียนการสอนที่ดีควรมีการเสริมแรงหลังจากที่ผู้เรียนเกิดการตอบสนองที่เหมาะสม เช่น การชมเชย การให้รางวัล ผลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่องการเขียนสารคดี อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.76 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.06 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นให้นักเรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยอาศัยทักษะกระบวนการกลุ่มที่นักเรียนแต่ละกลุ่มมีความสามารถที่แตกต่างกันร่วมมือกันทำงาน โดยมีการให้รางวัลการพัฒนาการเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนร่วมมือกันทำงานเพื่อให้งานประสบผลสำเร็จตามที่ต้องการ นักเรียนมีความสนุกสนานในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ สอดคล้องกับวิจัยของ ปทิตตา ไชยทิพย์ และคณะ (2553) ได้ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) พบว่าโดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมทุกขั้นตอนด้วยความเป็นอิสระไม่เคร่งเครียด โดยมีครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ให้การเสริมแรง ทำให้ครูผู้สอนและนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ขณะจัดกิจกรรมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นและสนุกสนานกับการเรียน ซึ่งได้ทั้งความรู้และประสบการณ์การเรียนรู้ส่งผลให้นักเรียนกล้าคิด กล้าแสดงออก ทำให้นักเรียนมีความมั่นใจในการพัฒนาทักษะการเขียนและสามารถเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
|
โพสต์โดย Kru_Kru : [16 ม.ค. 2565 เวลา 12:48 น.] อ่าน [3850] ไอพี : 223.204.233.154
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก
|
|
|
|
|
|
|
โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2. ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป
3. สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น
7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป
** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**
|
|
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡ เปิดอ่าน 14,069 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 16,197 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 8,305 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 10,199 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 19,179 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 35,452 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 46,859 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 11,074 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 52,179 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 11,622 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 11,810 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 26,348 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 3,572 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 11,958 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 73,103 ครั้ง 
| |
|
เปิดอ่าน 15,795 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 20,235 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 1,321,708 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 10,397 ครั้ง 
| เปิดอ่าน 30,486 ครั้ง 
|
|

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด
|