บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง หน้าที่พลเมือง โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 วัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อศึกษาปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม ระดับชั้นประถมศึกษา 2) เพื่อพัฒนาชุดการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง หน้าที่พลเมือง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง หน้าที่พลเมือง โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) 4) เพื่อหาประสิทธิผลของชุดการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง หน้าที่พลเมือง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดการสอน สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง หน้าที่พลเมือง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ 1) ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เฉพาะครูที่สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม ระดับชั้นประถมศึกษา โรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองวารินชำราบจังหวัดอุบลราชธานี 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนเทศบาลบ้านตาโผ่นมิตรภาพที่ 5 เทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 24 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาการจัดการเรียนการสอนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมระดับชั้นประถมศึกษา จำนวน 1 ฉบับ 18 ข้อ ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.61 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.9874 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 5.00 3) ชุดการสอน จำนวน 10 ชุด ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.31 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 40 ข้อ ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่า IOC เท่ากับ 0.86 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.8758 และ 5)แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 1 ฉบับ 20 ข้อ ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.33 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.9264 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ใช้แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre-test Post-test Design ทดสอบกลุ่มตัวอย่างก่อนเรียน (Pre-test) ทำการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ออกแบบไว้ โดยใช้ชุดการสอน ทดสอบย่อยระหว่างเรียน และทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) ใช้แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ IOC วิเคราะห์ค่าความสอดคล้องของแบบทดสอบ ใช้สถิติหาค่าอำนาจจำแนก (B) ค่าความยากง่าย (p) ตามวิธีของแบรนแนน (Brennan) ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ (rcc) ตามวิธีของโลเวท (Lovett) ใช้สถิติ E1/ E2 หาประสิทธิภาพของชุดการสอน ใช้สถิติหาค่าอำนาจจำแนกของแบบสอบถามปัญหาการสอนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และแบบสอบถามความพึงพอใจ แบบสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) ใช้สถิติหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับวิธี Itemtotal Correlation ใช้สูตรสหสัมพันธ์อย่างง่ายของ Pearson ใช้สถิติ t-test วิเคราะห์สมมติฐานเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน และเปรียบเทียบความพึงพอใจก่อนเรียนและหลังเรียน ใช้สถิติ E.I. วิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดการสอน และใช้สถิติพื้นฐานวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (X-bar) ร้อยละ (P) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า
1. ปัญหาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมระดับชั้นประถมศึกษา โดยรวมทุกสถานะมีปัญหาอยู่ในระดับมาก (X-bar =4.15) เมื่อพิจารณาเป็นรายสถานะ พบว่า สถานะที่มีปัญหาค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ สถานะวุฒิการศึกษา ( X-bar=4.31) รองลงมาได้แก่สถานะประสบการณ์การทำงานมีปัญหาค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( X-bar=4.28) ส่วนสถานะที่มีปัญหาต่ำสุดได้แก่สถานะเพศ มีปัญหาค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( X-bar=3.87)
2. โดยรวมแผนการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 88.83 คิดเป็นร้อยละ 88.83 เมื่อพิจารณาเป็นรายแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9.04 คิดเป็นร้อยละ 90.42 รองลงมาได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4,5,6 และ 10 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.92 คิดเป็นร้อยละ 89.17 เท่ากันทั้ง 4 แผน ส่วนแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3, และ 7 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.75 คิดเป็นร้อยละ 87.50
3. ประสิทธิภาพของชุดการสอนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง หน้าที่พลเมือง โดยจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เท่ากับ 88.13/85.63 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้
4. ประสิทธิผลของชุดการสอน เท่ากับ 0.7510 แสดงว่าชุดการสอน เรื่อง หน้าที่พลเมือง โดยจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชุดนี้ ทำให้นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 75.10 สูงกว่าเกณฑ์ที่ยอม รับได้
5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนทดสอบนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งเอาไว้
6. โดยรวมความพึงพอใจของนักเรียนชายและนักเรียนหญิง ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้ชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง หน้าที่พลเมือง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( X-bar=4.37) โดยรวมก่อนเรียนและหลังเรียน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ( X-bar=3.19) และเมื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า ความพึงพอใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05