ชื่อผู้ทำการวิจัย นางสาวอุไร เชื้อสมัน ครูประจำชั้นอนุบาล ๑
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหาดสุรินทร์
ความเป็นมาของปัญหา
ความสำคัญของการศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพของคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญาความรู้และคุณธรรมมีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และการที่บุคคลจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะการฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถทั้งในด้าน ความรู้และทักษะต่าง ๆรวมไปถึงการมีบุคลิกภาพความคิดความเชื่อถือที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ เนื่องจากสังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวหรือการพัฒนาบุคลิกภาพให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งช่วงเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดสำหรับพัฒนาการของชีวิต ประสบการณ์และการเรียนรู้ ที่เด็กได้รับในช่วง 6 ปี แรกของชีวิตจะมีผลต่อการวางรากฐานที่สำคัญต่อบุคลิกภาพของเด็กเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อีริคสัน (Erikson. 1975 : 220 222 ; อ้างอิงใน อุลัย บุญโท. 2544 : บทนำ) ได้กล่าวถึงการเสริมสร้างความรู้สึกเชื่อมั่นในตนเองของเด็กที่ควรตระหนักว่า ถ้าเด็กมีโอกาสทำสิ่งต่าง ๆ และได้รับการยอมรับผู้ใหญ่ให้โอกาส เด็กได้ซักถามปัญหาเปิดโอกาสให้เด็กลองทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง ย่อมเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้กับเด็กได้ ตรงกันข้ามถ้าผู้ใหญ่ไปสกัดกั้นความอยากรู้ของเด็ก ก็จะเป็นการสกัดกั้นความเชื่อมั่นตนเองของเด็กด้วย
ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นคุณลักษณะที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของการ พัฒนาบุคลิกภาพที่จะส่งผลให้เด็กมีความเป็นตัวของตัวเอง กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจและมีความมั่นใจที่ จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จตามที่ต้องการ กล้ากระทำกล้าเผชิญเหตุการณ์ รวมทั้งสามารถจัดการกับปัญหา ในชีวิตของตนเองได้
จากการที่ผู้วิจัยได้ปฏิบัติการสอนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหาดสุรินทร์ และได้ทำการสอนในระดับชั้นอนุบาล ๑ ซึ่งมีจำนวนนักเรียนทั้งหมด ๒๔ คน มีการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ 6 กิจกรรมหลัก และส่งเสริมทักษะทางวิชาการให้กับเด็ก ผู้วิจัยได้มีการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็ก ตลอดระยะเวลาที่ทำการสอน พบว่า มีเด็กในห้องเรียน 1 คน คือ เด็กหญิงนูรีซา มานะบุตร เป็นเด็กที่มีพฤติกรรมไม่ชอบทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ชอบเล่นคนเดียว ไม่พูดคุยกับเพื่อนและคุณครู ไม่กล้าออกมาพูดหน้าชั้นเรียน จึงเป็นเหตุผลให้ครูผู้สอนคิดที่จะแก้ปัญหาพฤติกรรมการไม่กล้าพูดหน้าชั้นเรียน เพื่อให้นักเรียนกล้าแสดงออก กล้าพูดกล้าคุยกับคุณครูและเพื่อน และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
-๒-
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อให้นักเรียนมีพฤติกรรมการกล้าพูดหน้าชั้นเรียนดีขึ้น
2. เพื่อให้นักเรียนนำทักษะที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากร นักเรียนชั้นอนุบาล ๑ จำนวน 1 คน เด็กหญิงนูรีซา มานะบุตร (น้องนูรีซา)
2. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น จัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ฝึกทักษะการออกมาพูดหน้าชั้นเรียน
ตัวแปรตาม ได้แก่ - ความกล้าแสดงออกในการพูดหน้าชั้นเรียน
วิธีการดำเนินการวิจัย
1. คุณครูสังเกตพฤติกรรมการพูดในห้องเรียนของนักเรียน
2. คุณครูจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ให้นักเรียนออกมาทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน ได้แก่
- กิจกรรมที่ 1 ให้นักเรียนแต่ละคนออกมาทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียนตามคำสั่ง (บอกตำแหน่งข้างบน ข้างล่าง ข้างใน )
- กิจกรรมที่ 2 ให้นักเรียนแต่ละคนออกมาบอก-เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการทดลองดมกลิ่นหอม/
เหม็น) กิจกรรมหนูน้อยนักสืบ
- กิจกรรมที่ 3 ให้นักเรียนแต่ละคนปฏิบัติตามข้อตกลงในการการทำกิจกรรมทายเสียงสัตว์
โดยฟังจากยูทูป
- กิจกรรมที่ 4 ให้นักเรียนแต่ละคนปฏิบัติตามข้อตกลงในการทดลองการชิมรส (หวาน-น้ำตาล/เค็ม-เกลือ)
- กิจกรรมที่ 5 ให้นักเรียนแต่ละคนปฏิบัติตามข้อตกลงในการปฏิบัติการทดลอง สิ่งของที่นุ่มและแข็ง
3. คุณครูกล่าวชมเชยเด็ก เมื่อปฏิบัติตามข้อตกลงและออกมาพูดหน้าชั้นเรียน
4. คุณครูบันทึกแบบประเมินพฤติกรรมการพูดหน้าชั้นเรียน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
๑. แบบประเมินพฤติกรรมของนักเรียน
การวิเคราะห์ข้อมูล
๑. สังเกตการออกมาพูดหน้าชั้นเรียน
๒. สังเกตการปฏิบัติตามข้อตกลงในการทำกิจกรรม
โดยสร้างเกณฑ์ในการให้คะแนนแบบประเมินพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ได้ ดังนี้
ระดับ 3 ดี หมายถึง เด็กแสดงพฤติกรรมการพูดหน้าชั้นเรียนได้เป็นประจำและสม่ำเสมอ
ระดับ 2 ปานกลาง หมายถึง เด็กแสดงพฤติกรรมการพูดหน้าชั้นเรียนได้บ้างเป็นครั้งคราวหรือบางครั้ง
ระดับ 1 ควรเสริม หมายถึง เด็กไม่แสดงพฤติกรรมการพูดหน้าชั้นเรียน
ระยะเวลาการดำเนินการดำเนินงาน
วันที่ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ๓๐ มิถุนายน -๑-๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ (สัปดาห์ที่ ๓ หน่วย..หนูน้อยนักสัมผัส..)
-๓-
สรุปผลการวิจัย
ภายหลังจากการแก้ไขพฤติกรรมไม่กล้าออกมาพูดหน้าชั้นเรียนของเด็กหญิงนูรีซา มานะบุตร โดยใช้การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์พบว่าเด็กหญิงนูรีซา มานะบุตร มีพฤติกรรมการออกมาพูดหน้าชั้นเรียนดีขึ้น คือ ยืนด้วยท่าทางมั่นใจ กล้ามองเพื่อนๆ และใช้นำเสียงที่ชัดเจนฟังชัดมากขึ้น
ข้อเสนอแนะ
1. ควรมีการศึกษาการนำกิจกรรมเสริมประสบการณ์ ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านพฤติกรรมใน ด้านต่างๆ
2. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างผลการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์กับการจัดกิจกรรม รูปแบบอื่นๆ เพื่อนำผลที่ได้มาเป็นแนวทางในการแก้ไขพฤติกรรมไม่กล้าออกมาพูดหน้าชั้นเรียน
ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำวิจัย
1. นักเรียนมีพฤติกรรมการกล้าพูดหน้าชั้นเรียนดีขึ้น
2. นักเรียนนำทักษะที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจำวันได้