อาคม เชิงสมอ. (2563) การพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล ๔ (วัดโพธาวาส) เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งเป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการสอน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบ การสอน 3) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของรูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) และ 4) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการสอน 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนด้วยรูปแบบการสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนเทศบาล ๔ (วัดโพธาวาส) เทศบาลนครสุราษฏร์ธานี อำเภอเมืองสุราษฏร์ธานี จังหวัดสุราษฏร์ธานี จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยมีแผนการวิจัย แบบวิจัยกลุ่มเดียว (One-Group Pretest-Posttest Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามความต้องการจำเป็นพื้นฐานของผู้ปกครอง นักเรียนและครู 2) แบบสัมภาษณ์ (การสนทนากลุ่ม Focus Group) โดยครูผู้สอน หัวหน้างานวิชาการ และผู้บริหารสถานศึกษา 3) คู่มือการใช้รูปแบบและแผนการสอนตามรูปแบบการสอนจำนวน 10 แผน ใช้เวลาเรียนสัปดาห์ละ 1 วัน วันละ 1 ชั่วโมง 4) แบบทดสอบความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้
1. ผลการศึกษาข้อมูลความต้องการจาเป็นพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการสอน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยภาพรวม ทุกกลุ่มมีความต้องการในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่ากลุ่มครูเป็นกลุ่มที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดและทุกรายการผ่านเกณฑ์ เช่นเดียวกับผลการสัมภาษณ์จากการสนทนากลุ่ม มีความคิดเห็นในทางเดียวกันว่านักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ต้องได้รับการส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) อย่างเร่งด่วนและรูปแบบการสอนที่สังเคราะห์ขึ้น มีความน่าสนใจ ทันสมัย
2. รูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้ดาเนินการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพ มีชื่อเรียกว่าMPOASE ที่มาจากการผสมผสานจาก แนวคิด หลักการ
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความสามารถในการคิดแก้ปัญหา โดยมีองค์ประกอบ 7 องค์ประกอบได้แก่ 1) หลักการและวัตถุประสงค์ 2) กระบวนการเรียนการสอน 3) สาระหลัก 4) ระบบสังคม 5) หลักการตอบสนอง 6) สิ่งสนับสนุนการเรียนการสอน และ 7) เงื่อนไขในการนารูปแบบการสอนไปใช้ มีส่วนประกอบเป็น 6 ขั้นตอน คือขั้นที่ 1 การกระตุ้นความสนใจ (Motivation: M) ขั้นที่ 2 การฝึกปฏิบัติ (Practice: P) ขั้นที่ 3 การจัดระเบียบความรู้ (Organizing Knowledge: O) ขั้นที่ 4 การประยุกต์ใช้กระบวนการคิด (Applying Thinking Process: A) ขั้นที่ 5 การสรุป (Summarizing: S) และ ขั้นที่ 6 การประเมินผล (Evaluating: E) โดยฝึกให้นักเรียนใช้ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ดังนี้คือ 1) การวิเคราะห์ปัญหา 2) การวางแผนแก้ปัญหา 3) การดำเนินการ ตามแผนที่วางไว้ และ 4) การตรวจสอบผลลัพธ์ มีผลคะแนนประเมินระหว่างกิจกรรมแต่ละหน่วย (E1) ได้ค่าประสิทธิภาพ 81.53 และผลคะแนนทดสอบหลังเรียน (E2) ได้ค่าประสิทธิภาพ 83.22 ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการสอนเท่ากับ 81.53/83.22 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนดไว้ คือ 80/80 โดยได้นำไปทดลองใช้กับกลุ่มทดลอง 3 กลุ่ม คือ แบบรายบุคคล แบบกลุ่มย่อยและแบบภาคสนาม ซึ่งได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการสอนตามเกณฑ์ในทุกกลุ่ม
3. ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ด้านเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการสอน พบว่าค่าเฉลี่ยหลังเรียนด้วยรูปแบบการสอน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการสอนด้วยรูปแบบการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) พบว่าโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก