บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ปัญหาเป็นฐานบูรณาการทักษะการคิดขั้นสูง สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์เฉพาะคือ 1) เพื่อสร้างและ ตรวจสอบคุณภาพรูปแบบ 2) เพื่อศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการดําเนินการวิจัยประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ 1) สร้างและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบ โดยผู้เชี่ยวชาญประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ และนําไปทดลองนําร่องกับนักเรียน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จํานวน 36 คน 2) ทดลองใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นกับกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียน โรงเรียนประชาพัฒนศึกษา จํานวน 32 คน ที่กําลังศึกษาใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ใช้เวลา ทดลอง 16 ชั่วโมง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ทดลองใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วย ไฟฟ้า โดยใช้รูรูปแบบการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ปัญหาเป็นฐานบูรณาการทักษะการคิดขั้นสูง จำนวน 8 แผน จำนวน16 ชั่วโมง และ2) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 4 สถานการณ์ ซึ่งมีดัชนีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.48 0.56 ดัชนีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.44 0.49 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test dependent, one-sample t-test
ผลการวิจัยพบว่า
ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการสร้างและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบ พบว่า
1.1 รูปแบบที่พัฒนาขึ้น คือ พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ปัญหาเป็นฐานบูรณาการทักษะการคิดขั้นสูง สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มี 5 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรม การเรียนการสอน การวัดและประเมินผล กิจกรรมการเรียนการสอนมี 6 ขั้น (KIAESD MODEL) คือ ขั้นทบทวนความรู้เชื่อมโยงปัญหา ขั้นร่วมกันระบุปัญหากำหนดกรอบและ แนวทางแก้ปัญหา ขั้นศึกษา วิเคราะห์ ประเมินและเลือกแนวทางแก้ปัญหา ขั้นสรุป ดำเนินการแก้ปัญหาและสรุปผล ขั้นพัฒนางานและสร้างงาน และ พัฒนางานและสร้างงาน ผลการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่ารูปแบบมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด
1.2 รูปแบบมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.7051
2. ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น พบว่า
2.1 ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนก่อนเรียนภาพรวมส่วนใหญ่ อยู่ในระดับดี และหลังเรียนภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีมาก
2.2 นักเรียนมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2.3 นักเรียนมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05