ชื่อผู้วิจัย นางอโนทัย วรรณทอง
ประกอบสอนวิชา ภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน 4 (อ30206) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563
__________________________________________________________________________
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักที่กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติฯ ภูเก็ต จัดให้นักเรียนทุกระดับชั้นทุกภาคการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ที่ให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษมาก เพราะตระหนักว่าภาษาอังกฤษจะเป็นหนทางที่ทำให้นักเรียนได้รับความรู้ ข่าวสาร และพัฒนาตนเองเพื่อเตรียมพร้อมไปสู่สมาคมอาเซียน การเรียนภาษาอังกฤษนั้นมุ่งให้นักเรียนได้ใช้ทักษะทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน
การอ่านภาษาอังกฤษเป็นทักษะพื้นฐานทักษะหนึ่งในการเรียนภาษาอังกฤษ ที่มีประโยชน์ต่อนักเรียน ทั้งในการเรียน การศึกษาหาความรู้จากสื่อต่างๆและการประกอบอาชีพในอนาคต จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 พบว่านักเรียนขาดทักษะการอ่าน ไม่สามารถบอกความหมายและวิธีการอ่านฉลากยาที่ถูกต้องได้ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine Label)
ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้อง และมีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษที่ดี อันจะเป็นประโยชน์กับนักเรียนต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label)
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 ให้สูงขึ้น
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label)
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเฉลิมพระเกียติฯ ภูเก็ต ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 29 คน
2. ตัวแปรที่ศึกษา
2.1 ตัวแปรอิสระ แบบฝึกหัดเสริมทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านฉลากยา
(Reading medicine label)
2.2 ตัวแปรตาม ทักษะและผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียน
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน เรื่อง เรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label)
แบบทดสอบปรนัย แบบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเองเพื่อประกอบการเรียน
การสอน
2. แบบฝึกหัดเสริมทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label)
ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้
- กิจกรรมก่อนการอ่าน Pre - Reading
- กิจกรรมระหว่างการอ่าน While - Reading
- กิจกรรมหลังการอ่าน Post Reading
- บทอ่าน Reading Text
- ใบความรู้
4. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรม จำนวน 6 คาบเรียน ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน - 9 ธันวาคม 2563
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอนดังนี้
1. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน ( Pre-test ) เรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label)
2. ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านฉลากยา
(Reading medicine label)
3. นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน ( Post-test )
4. ครูรวบรวม วิเคราะห์ เปรียบเทียบผล และสรุปผล
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ในการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังเพื่อวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label) โดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ( ) และร้อยละ
ผลการวิจัย
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label) ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โดยใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label) ได้มีการประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน จำนวน 29 คน จากการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า หลังจากนักเรียนได้เรียนโดยใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label) ช่วยให้นักเรียนมีทักษะการอ่านดีขึ้น
ข้อเสนอแนะ
การอ่าน - เขียนเป็นทักษะซึ่งจะสัมฤทธิ์ผลได้จากการกระทำอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงควรมีการพัฒนาทักษะการเขียนต่อไป โดยการกระตุ้น ให้นักเรียนเห็นความสำคัญและรักการเขียน โดยครูผู้สอนสังเกตการเขียนเป็นระยะๆ และควรพัฒนาทักษะการเขียน กับนักเรียนในระดับชั้นอื่นๆ
ปรากฏผลดังตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1 การประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเรื่อง การอ่านฉลากยา
(Reading medicine label) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 29 คน
นักเรียนคนที่ การประเมินผล
D
D
คะแนนก่อนเรียน
( X )
คะแนนหลังเรียน
(X )
1 7.00 12.00 5.00 25.00
2 6.00 12.00 6.00 36.00
3 8.00 14.00 6.00 36.00
4 5.00 11.00 6.00 36.00
5 7.00 12.00 5.00 25.00
6 6.00 10.00 4.00 16.00
7 6.00 12.00 6.00 36.00
8 7.00 12.00 5.00 25.00
9 6.00 13.00 7.00 49.00
10 7.00 13.00 6.00 36.00
11 6.00 14.00 8.00 64.00
12 7.00 12.00 5.00 25.00
13 9.00 15.00 6.00 36.00
14 5.00 12.00 7.00 49.00
15 4.00 10.00 6.00 36.00
16 6.00 12.00 6.00 36.00
17 8.00 13.00 5.00 25.00
18 7.00 12.00 5.00 25.00
19 8.00 10.00 2.00 4.00
20 10.00 16.00 6.00 36.00
21 9.00 14.00 5.00 25.00
22 7.00 13.00 6.00 36.00
23 10.00 15.00 5.00 25.00
24 9.00 15.00 6.00 36.00
25 6.00 13.00 7.00 49.00
นักเรียนคนที่ การประเมินผล
D
D
คะแนนก่อนเรียน
( X )
คะแนนหลังเรียน
(X )
26 5.00 12.00 7.00 49.00
27 6.00 12.00 6.00 36.00
28 8.00 17.00 9.00 81.00
29 7.00 13.00 6.00 36.00
N = 28
= 202
= 6.79
S.D.1 = 1.50 = 371
= 12.79
S.D.2 = 1.69
= 169
= 1029
จากตารางที่ 1 พบว่าการทดสอบคะแนนของผู้เรียน มีคะแนนก่อนเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 6.79 คะแนน
และมีคะแนนหลังเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 12.79 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนสอบทั้งสองครั้ง พบว่า
คะแนนสอบหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน
อภิปรายผล
จากการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า หลังจากนักเรียนได้เรียนโดยใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านฉลากยา (Reading medicine label) ช่วยให้นักเรียนมีทักษะการอ่านดีขึ้น
ข้อเสนอแนะ
การอ่าน - เขียนเป็นทักษะซึ่งจะสัมฤทธิ์ผลได้จากการกระทำอย่างต่อเนื่อง และหรือสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงควรมีการพัฒนาทักษะการเขียนต่อไป โดยการกระตุ้น ให้นักเรียนเห็นความสำคัญและรักการเขียน โดยครูผู้สอนสังเกตการเขียนเป็นระยะๆ และควรพัฒนาทักษะการเขียน กับนักเรียนในระดับชั้นอื่นๆ